

การจัดการอาหารโคเนื้อ-โคนม
ประเภทของอาหารโคเนื้อ


การให้อาหารเพื่อการเจริญเติบโตของสัตว์นั้น สัตว์จะนำเอาอาหารไปใช้ในการขยายตัวของโครงกระดูกและเนื้อเยื่อของร่างกายในวัยเล็กจนถึงขนาดโตเต็มวัย ในโคจะโตเต็มวัยเมื่ออายุประมาณ 5 ปี หลังจากนั้นสัตว์ก็จะหยุดการเจริญเติบโต แต่สัตว์จะมีการเพิ่มน้ำหนักต่อไปอีก ซึ่งจะเป็นการสะสมของไขมันเกือบล้วนๆ หรือที่ว่าสัตว์อ้วนนั้นเอง เพราะฉะนั้นในช่วยการเจริญเติบโตของลูกโค ควรได้รับอาหารแร่ธาตุอย่างพอเพียง โดยเฉพาะแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสอาหารแร่ธาตุอย่างง่าย อาจทำได้โดยใช้เกลือ 1 ส่วน กระดูกป่น 1 ส่วน และเปลือกหอยป่น 1 ส่วนผสมกันตั้งไว้ให้สัตว์กินตลอดเวลาก็ได้ ในช่วงที่หญ้าขาดแคลนควรให้อาหารเสริม หรืออาหารผสมที่มีโปรตีนประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ ให้กินในปริมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว
สำหรับโคที่อยู่ในระยะสืบพันธุ์นั้น ถ้าได้รับอาหารไม่เพียงพอมักจะมีการสืบพันธุ์ไม่ปกติ เช่น เป็นสัด ช้ากว่าปกติ การสร้างไข่ และอสุจิไม่สมบูรณ์ ทำให้แม่ไม่อาจะติดลูกได้ หรือแม่สัตว์ที่ตั้งท้องแล้วอาจทำให้การเจริญของลูกอ่อนในท้องไม่เจริญหรือสมบูรณ์พอ หรือจะแท้งได้ในที่สุด สำหรับแม่โคอุ้มท้องนั้น ในระยะ 1-6 เดือนแรก การเจริญของลูกอ่อนในท้องจะเจริญไปอย่างช้าๆ แต่ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด การเจริญของลูกอ่อนในท้องจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้ควรให้โคได้รับอาหารอย่างน้อยพอเพียง โดยเฉพาะอาหารพวกแร่ธาตุ (แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส) เพราะต้องใช้ในการสร้างลูกอ่อน ถ้าสัตว์ได้รับแคลเซียม ฟอสฟอรัส ไม่พอสัตว์ก็จะดึงเอาแร่ธาตุจากแม่ไปใช้จะทำให้แม่โคขาดแคลเซี่ยม ซึ่งจะมีผลเมื่อแม่โคคลอดทำให้เกิดอาการไข้นม และอาจมีผลทำให้เกิดรกค้างในโคด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากสัตว์ได้รับอาหารมากเกินไปคือทำให้สัตว์อ้วน ก็จะมีผลได้ในระบบการสืบพันธุ์ คือจะทำให้ไขมันไปหุ้มรับไข่ทำให้ไข่ตกลงมาไม่ได้ หรือไขมันไปอุดตันตามท่อน้ำไข่หรือปีกมดลูก ทำให้ไข่ที่ตกลงแล้วไม่สามารถเดินทางมาผสมกับอสุจิของตัวผู้ได้ ทำให้โคนั้นไม่สามารถติดท้องได้เช่นเดียวกัน
อาหารที่ใช้ในการเลี้ยงโคเนื้อ พอจะแยกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. อาหารข้น หมายถึง อาหารที่มีความเข้มข้นของโภชนะอยู่สูง มีเปอร์เซ็นต์เยื่อใยอยู่ในปริมาณที่ต่ำ เมื่อสัตว์กินเข้าไปสามารถย่อยได้มาก ส่วนใหญ่ได้จากทั้งพืชและสัตว์ เช่น ปลาป่น กระดูกป่น เนื้อป่น เปลือกหอยป่น ข้าวโพดป่น ปลายข้าว รำละเอียด มันเส้นรวมไปถึงอาหารผสมสำเร็จรูปที่บริษัทต่างๆ ผลิต และจำหน่ายด้วย
2. อาหารหยาบ หมายถึง อาหารที่มีความเข้มของโภชนะอยู่ต่ำ มีเยื่อใยในปริมาณสูง ซึ่งอาหารหยาบถือว่าเป็นอาหารหลักของโค กระบือ และสัตว์เคี้ยวเอื้องอื่นๆ ด้วย อาหารหยาบ สัตว์จะนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยอาศัยจุลินทรีย์เป็นตัวช่วยในการหมักบูด และย่อยสลายเพื่อให้ได้โภชนะต่างๆ และนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายต่อไป ซึ่งได้แก่พืชตระกูลหญ้า และพืชตระกูลถั่วทั่วๆ ไป
พืชอาหารสัตว์
พืชอาหารสัตว์ หมายถึง พืชใดๆ ที่สัตว์กินเข้าไปแล้วทำให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายและไม่เป็นพิษต่อสัตว์ด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีพืชอยู่หลายชนิด ที่สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ ซึ่งพอจะแยกกล่าวได้ 2 อย่างด้วยกันคือ พืชตระกูลหญ้า และพืชตระกูลถั่ว
1. หญ้ากินนี มีถิ่นกำเนิดในอัฟริกา เป็นหญ้าที่มีอายุค้างปี ลักษณะเป็นกอต้นตั้งแบบกอตะไคร้ใบเรียวยาว ใบตก ติดเมล็ดได้ดีทนต่อสภาพแห้งแล้ง ต้นสูงถึง 200 เซนติเมตร การปลูกนิยมเพาะเมล็ดก่อน เพราะเมล็ดมีความงอกค่อนข้างต่ำ และค่อยแยกกอไปปลูกในแปลง
2. หญ้ารูซี่ หรือหญ้าคองโก นำเข้ามาในไทยโดยฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค เป็นหญ้าที่มีอายุค้างปี ลักษณะคล้ายหญ้ามอริซัส แต่ข้อปล้องสั้นกว่า ใบนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ใบมีขนขาว ติดเมล็ดได้ดีมาก เมล็ดมีความงอกสูง ทนต่อการเหยียบย่ำได้ดี แต่สัตว์ชอบกินน้อยกว่า หญ้ามอริซัส การปลูกใช้เมล็ดหว่านประมาณ 1.5 ก.ก./ไร่ หญ้ารูซี่สามารถปลูกร่วมกันถั่วเชอราโตรและถั่วลายได้ดี
3. หญ้ามอริซัส หรือหญ้าขน เป็นหญ้าประเภทค้างปี ลำต้นกึ่งตั้งกึ่งนอน ปล้องกลวง ข้อและกาบใบมีสีขาวปกคลุม หญ้าขนเป็นหญ้าที่ขึ้นได้ในดินที่ชื้นแฉะ หรือน้ำขัง สามารถปลูกร่วมกับถั่วลายได้ดี การปลูกนิยมใช้ท่อนพันธุ์ปลูก ซึ่งมีข้อประมาณ 2-3 ข้อ ยาว 20-25 เซนติเมตร อาจจะหว่านลงในแปลงแล้วไถกลบ หรือปลูกเป็นหลุมระยะปลูก 60-90 เซนติเมตรก็ได้ ไม่นิยมปลูกด้วยเมล็ดเพราะเมล็ดมีความงอกต่ำ
4. หญ้าสตาร์ มีถิ่นกำเนิดในอาฟริกันตะวันออก ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีไหลมากมายประสานกันเป็นร่างแห สูง 60-100 เซนติเมตร หญ้าสตาร์สามารถขึ้นได้ดีในประเทศไทย ทนต่อความแห้งแล้ง ทนต่อการแทะเล็มและการเหยียบย่ำของสัตว์ได้ดี หญ้าชนิดนี้กระบือชอบกินมากกว่าโค หญ้าชนิดนี้ไม่ค่อยติดเมล็ด จึงนิยมใช้ส่วนของลำต้นปลูกเช่นเดียวกับหญ้าขน
5.หญ้าเนเปียร์ เป็นหญ้าอายุค้างปี กอสูงตั้งตรงคล้ายกออ้อย ใบดก แต่ออกลำแบบอ้อย สัตว์ชอบกินเมื่อหญ้ายังไม่แก่ โดยการตัดสดให้กินหรือทำหญ้าหมัก ไม่ทนการเหยียบย่ำ เหมาะทำเป็นหญ้าสวนครัว ไม่ติดเมล็ด ปลูกได้โดยตัดลำต้นปักชำ ใช้เลี้ยงสัตว์ได้ หลังจากปลูกแล้วประมาณ 80 วัน และตัดได้อีกในทุกๆ 40-45 วัน
6. หญ้าซิกแนลตั้ง เป็นหญ้าสกุลเดียวกับหญ้าขน ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก แต่ปล้องตัน เป็นหญ้าประเภทค้างปี เหมาะสำหรับปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มและทำหญ้าแห้ง การปลูกอาจปลูกด้วยเมล็ดหรือแยกกอปลูกก็ได้ โดยปลูกเป็นแถวประมาณ 40 เซนติเมตร
7. หญ้าซิกแนลนอน คล้ายกับหญ้าขน และหญ้าซิกแนลตั้งแต่มีใบมากกว่า ลำต้นเลื้อยนอนไปตามพื้นดิน โคชอบกินมากกว่าสามารถปลูกกับถั่วลายได้ดี หลังปลูกสามารถปล่อยสัตว์แทะเล็มได้หลัง 80 วัน ปลูกได้ทั้งแยกกอปลูกและใช้เมล็ด แต่เมล็ดค่อนข้างจะมีความงอกต่ำการใช้เมล็ด 2-3 ก.ก./ไร่ ถ้าแยกกอปลูกควรใช้ระยะปลูกประมาณ 30 เซนติเมตร
8. ถั่วเซนโตรซีม่า หรือถั่วลาย มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และหมู่เกาะคาริบเบียน ลักษณะการเจริญเติบโตเป็นเถาเลื้อยขนานไปตามผิวดิน หรือพันหลักและพืชอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเป็นถั่วที่ทนต่อการรบกวนจากแมลงได้ดี มีความสามารถทนแล้งได้พอใช้ขึ้นได้ดีในทุกภาคของประเทศไทยขึ้นได้ดีกับหญ้าหลายชนิด เช่น หญ้ากินนี หญ้าขน หญ้าเนเบียร์ การปลูกใช้เมล็ดปลูก เนื่องจากเมล็ดมีความแข็ง ควรแช่น้ำร้อนที่เดือดประมาณ 10 นาที จะช่วยให้เปอร์เซ็นต์ความงอกดีขึ้น
9. ถั่วฮามาต้า แหล่งดั้งเดิมอยู่ในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกและอเมริกากลาง นำเข้ามาเมื่อ ปี 2514 โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นและสำนักงานเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะลำต้นตั้ง เมื่ออายุมากขึ้นจะแผ่กิ่งก้านสาขาออกทางด้านข้าง ลำต้นเล็ก ผิวเกลี้ยง อาจมีขนบ้าง ดอกมีสีเหลือง ใบมีใบย่อยคล้ายหอก เป็นถั่วที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแห้งแล้งได้ดีมาก การปลูกโดยใช้เมล็ดประมาณ 1-2 ก.ก./ไร่
10. ถั่วเซอราสโตร เป็นถั่วที่ถูกนำเข้ามาโดยศูนย์ส่งเสริมโคนมมวกเหล็ก ในปี 2505 โดยนำมาจากออสเตรเลีย ลักษณะลำต้นเป็นแบบเถาเลื้อย สามารถเลื้อยพันพืชชนิดอื่นได้หรือเลื้อยแผ่ไปบนดิน ลำต้นมีขนอยู่ทั่วไปรากมีระบบรากแก้วลึก แข็งแรง ใบมีสีเขียวอวบน้ำมีขนด้านบนใบเล็กน้อย ด้านล่างใบมีขนมากกว่า ดอกมีสีแดงเข้มหรือสีม่วง ผักรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 7.6 เซนติเมตร มีเมล็ดประมาณ12-13 เมล็ดต่อฝัก การปลูกโดยการหว่านเมล็ด ในอัตรา 1.5 ก.ก./ไร่ เป็นถั่วที่ติดเมล็ดได้ดีอีกพันธุ์หนึ่ง
11. กระถิน เป็นพืชที่ขึ้นได้โดยทั่วๆ ไป เป็นไม้ยืนต้น ปัจจุบันมีกระถินยักษ์หลายพันธุ์ที่มีโปรตีนสูง สัตว์ชอบกิน นิยมให้กินทั้งในรูปของกระถินสดและทำใบแห้งสำหรับผสมในอาหารข้น ซึ่งในใบกระถินแห้งจะมีโปรตีนประมาณ 24% ถ้าให้กินสด ควรให้ผสมกับหญ้าสดหรือหญ้าแห้งประมาณ 3-5 ก.ก./วัน ไม่ควรให้กระถินอย่างเดียวกับสัตว์ เพราะในกระถินมีสารมิมโมซีน ซึ่งถ้าได้รับมากจะทำให้เป็นพิษโดยมีอาการขนร่วง ต่อมไทรอยด์ขยายโตผิดปกติ แต่อย่างไรก็ตามในโคมักไม่ค่อยพบอาการเป็นพิเศษมากนัก
ข้อควรพิจารณาในการจัดการให้อาหารโคนม
การเลี้ยงโคนมให้ประสบผลสำเร็จเป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงต้องเอาใจใส่ดูแลโคของตนอย่างใกล้ชิด ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญค่อนข้างมากเกี่ยวกับการจัดการ การให้อาหารโคนมเพื่อจะให้สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการให้อาหารตามสภาวะของอาหารและความต้องการของโคที่มีในขณะนั้น โดยที่โคนมยังให้ผลผลิตได้เต็มที่ อาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของการเลี้ยงโคนม ผู้เลี้ยงโคนมมักจะพบปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหารสัตว์ ขาดความรู้ในการให้อาหารโคนม ทำให้โคนมให้ผลผลิตต่ำ และเกิดปัญหาหลายอย่างตามมาเกี่ยวกับสุขภาพโค เช่น การเป็นสัดล่าช้า การผสมไม่ติด ปัญหาลูกโคแคระแกรน เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ลดลง ดังนั้น ข้อที่ควรพิจารณาในการจัดการและการให้อาหารโคนมดังนี้
1. การจัดการฟาร์มโคนม
2. การให้อาหารโคนม

การให้อาหารโคนม
ในการให้อาหารโคนม ผู้เลี้ยงต้องเข้าใจถึงความต้องการอาหารของโคนมเสียก่อน โคนมต้องการอาหารไปใช้ประโยชน์อะไรบ้าง นอกจากการให้นม ความต้องการโภชนะของโคนมสามารถจะแบ่ง
ออกได้ตามหน้าที่ที่ใช้ประโยชน์ในร่างกาย คือ ใช้โภชนะเพื่อการดำรงชีพ ใช้โภชนะเพื่อการเจริญเติบโต
ใช้โภชนะเพื่อการสืบพันธุ์ ใช้โภชนะเพื่อการเคลื่อนไหว โภชนะต่าง ๆ ที่โคต้องการได้มาจาก
อาหารโคนม แบ่งออกได้ เป็น 2 ชนิด คือ
1. อาหารหยาบ มีเยื่อใยสูง คุณค่าทางอาหารของอาหารจะเปลี่ยนแปรไปตามฤดูกาล สภาพดิน และชนิดของอาหารหยาบนั้น แต่โดยทั่วไปคุณค่าทางอาหารจะค่อนข้างต่ำผู้เลี้ยงต้องตระหนักในเรื่องนี้ตลอดเวลา โดยเฉพาะโคนมที่กำลังให้นม ถ้าได้กินอาหารหยาบไม่พอจะทำให้ปริมาณกรดอะซิติคที่ผลิตได้ต่ำและมีผลทำให้ไขมันในน้ำนมลดต่ำไปด้วย เพื่อทำให้ขบวนการย่อยอาหารและการผลิตไขมันในน้ำนมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาหารหยาบที่ให้ไม่ควรจะต่ำกว่า 1-1.5% ของน้ำหนักตัว หรือมี ADF ไม่ต่ำกว่า 19-21% หรือ CF ไม่ต่ำกว่า 18%
คุณภาพของอาหารหยาบเป็นเรื่องสำคัญ
หลักในการให้อาหารที่ดีแก่แม่โค คือให้มันได้รับอาหารหยาบที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะธรรมชาติของแม่โคเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องเกิดมาเพื่อกินหญ้า พืชอาหารสัตว์โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามแม่โคที่ให้นมตามปกติถึงจะให้มันกินอาหารหญ้าอย่างดีเต็มที่ ก็นับว่ายังไม่พอ ควรจะต้องเสริมอาหารข้นให้มันกินบ้างยิ่งในแม่โคที่ให้นมมาก ๆ ถึงแม้จะให้หญ้าดีและมีอาหารข้นให้กินเต็มที่ บางทีก็ยังไม่พอโดยเฉพาะในช่วงต้นของการให้นม ซึ่งจะทำให้น้ำหนักตัวลดลง ดังนั้นการเสริมอาหารข้นให้มันกินจะต้องพิจารณาถึงระดับการผลิตและสุขภาพของร่างกายของมันด้วย
หญ้าที่จะตัดให้กิน หรือจะปล่อยให้สัตว์ลงแทะเล็มควรจะอยู่ในระยะที่มันกำลังเจริญงอกงามเต็มที่แต่ยังไม่ถึงระยะแก่ เพราะว่า หญ้าหรือพืชอาหารสัตว์ที่ยังไม่แก่จะให้ประโยชน์หลายประการกล่าวคือ
1. มีส่วนประกอบของโปรตีนและพลังงานสูงกว่า
2. สัตว์ชอบกินและกินได้มากกว่า
3. สามารถย่อยได้ง่ายและมีการย่อยได้สูง
4. เป็นช่วงที่ให้ผลผลิตที่เป็นประโยชน์ต่อสัตว์สูงที่สุด
5. ช่วยนำไปใช้สร้างน้ำนมได้อย่างมากและเป็นการช่วยลดอัตราการเสริมอาหารข้นลง
6. ช่วยลดต้นทุนในการผลิตและเพิ่มกำไร
เมื่อคุณภาพของหญ้าหรือพืชอาหารสัตว์ที่แม่โคได้รับมีคุณภาพต่ำลง ก็จะทำให้แม่โคกินน้อยลง การย่อยได้ของพืชน้อยลง โภชนะที่แม่โคจะได้รับก็จะยิ่งน้อยลงไป การให้นมก็จะลดลง
2. อาหารข้น เป็นอาหารที่มีความเข้มข้นของโภชนะสูง อาจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
2.1 อาหารพลังงาน จะให้พลังงานสูง เช่น ปลายข้าว ข้าวโพด มันเส้น รำ เป็นต้น
2.2 อาหารโปรตีน จะให้โปรตีนสูง เช่น กากถั่วเหลือง ปลาป่น ใบกระถิน ใบมันสำปะหลังแห้ง กากฝ้าย เป็นต้น
อาหารข้นมีความสำคัญต่อโคมาก เช่นเดียวกับอาหารหยาบเพราะโคกินอาหารหยาบอย่างเดียวจะโตช้าให้นมน้อย ต้องเสริมด้วยอาหารข้น การใช้อาหารข้นเสริมต้องคำนึงถึงคุณค่าของอาหารหยาบ ปริมาณการใช้อาหารข้นตามสภาพร่างกาย น้ำหนักและปริมาณการให้ผลผลิต โดยผู้ให้ต้องสังเกตถึงระดับอาหารที่ให้กับปริมาณการตอบสนองของการให้นม พื้นฐานในการพิจารณาการให้อาหารต้องดูที่ผลตอบแทนแต่ก็อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละแห่งและแต่ละสถานการณ์ ซึ่งผู้เลี้ยงต้องปรับให้เหมาะกับสถานการณ์ของแต่ละแห่ง
คำแนะนำในการให้อาหารโคนมในฤดูกาลต่าง ๆ
เกษตรกรควรดูรอบ ๆ ตัวเอง รอบ ๆ บ้าน รอบ ๆ สวน ว่าเรามีอาหารอะไรบ้างจะให้โคกินได้ อาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบ ๆ บ้านนั้น จะเป็นแหล่งอาหารที่มีความสำคัญมาก และควรหันมาใช้อาหารที่มีอยู่ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งหญ้าและผลพลอยได้จากการเกษตร โดยมีรูปแบบการให้อาหารโคนมดังนี้
หน้าฝน
อาหารหยาบ ใช้หญ้าในแปลงที่ปลูกไว้ หญ้าสวนครัว หญ้าพื้นเมือง
อาหารข้น ตามความเหมาะสม
หน้าแล้ง
อาหารหยาบ หญ้าที่พอหาได้แต่ถ้าขาดใช้ฟางหมักยูเรีย หรือวัสดุเหลือใช้และผลพลอยได้ทางการเกษตรและอุตสาหกรรมที่เหมาะสม
อาหารข้น ตามความเหมาะสม
หลักการให้อาหารแก่โคระยะให้นม
โดยทั่วไปเกษตรกรให้หญ้าและเสริมอาหารข้นอย่างพอเพียง จะทำให้โคสามารถผลิตน้ำนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงผลตอบแทนด้วย ขอเสนอหลักการให้อาหารโคระยะให้นมโดยดูระดับการให้นมของแม่โค ดังนี้
ช่วงที่ 1 3 เดือนแรกของการให้นม (โคให้นมมาก) ปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้ต่อวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดสูงสุด เมื่อประมาณ 1.5-2 เดือน การให้อาหารข้นควรให้โดยเพิ่มขึ้นทุกวันในอัตราที่เพิ่ม ¾-1 กก./วัน จนกระทั่งให้ได้สูงสุดไม่เกิน 10-12 กก./วัน ควรแบ่งให้กิน 2-3 เวลา
ช่วงที่ 2 เป็นช่วงกลาง 4-5 เดือนของการให้นม โคจะให้นมลดลงการให้อาหารข้นควรปรับให้สัมพันธ์กับระดับการให้นม โดยพิจารณาเป็นรายตัว หรือจัดกลุ่มตามความสามารถในการผลิตนม ต้องมีการคำนวณอาหารหยาบที่จะให้กอ่นแล้วจึงคำนวณหาโภชนะที่ขาดจากอาหารข้น การกำหนดปริมาณอาหารข้นแต่ละวันควรปรับทุก ๆ เดือน
การให้อาหารโคนม ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรต้องคำนึงถึง
1. ปริมาณการกินได้ที่แท้จริงของโค
2. ชนิดและคุณภาพของโปรตีนในอาหารที่ให้
3. ชนิดและคุณภาพ ของคาร์โบไฮเดรตที่โคกินได้
4. ให้แร่ธาตุและวิตามินแก่โคตามความเหมาะของพื้นที่และวัตถุประสงค์
5. พิจารณาการให้สารเสริมในโคที่ให้ผลผลิตสูง ๆ
ผู้เลี้ยงโคนมต้องไม่ยึดถือการให้อาหารเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว ควรปรับการให้อาหารให้เหมาะสมตามสภาวะของการให้ผลผลิต สภาพของโค และอาหารสัตว์ในท้องถิ่น และการเปลี่ยนชนิดของการให้อาหารในโคนมโดยเฉพาะแม่โคนมบ่อยไม่เป็นผลดี
ช่วงที่ 3 1.5-2 เดือนสุดท้ายของการให้นม ช่วงนี้นมจะลดลงมากถ้าร่างกายสภาพสมบูรณ์ดี การให้อาหารดีและมากเกินความต้องการจะเป็นผลเสีย โคจะอ้วนและสิ้นเปลือง อาจจะลดอาหารข้นหรือหยุดให้กินให้แต่อาหารหยาบอย่างดีให้กินก็อาจจะพอเพียง
ช่วงที่ 4 ช่วงแห้งนม 2 เดือน แม่โคควรจะได้มีระยะพักประมาณ 2 เดือน ระหว่างนี้โคจะรักษาสภาพของร่างกายให้สมบูรณ์แต่ไม่อ้วน อาหารหยาบที่ให้อาจมีคุณภาพต่ำลงมาหน่อยและเสริมด้วยอาหารข้นในปริมาณแค่พอสำหรับดำรงสภาพของร่างกายให้สมบูรณ์ตามปกติเท่านั้นก็พอ ถ้าโคอ้วนมากมักจะมีประสิทธิภาพในการสืบพันธ์ไม่ดี และทำให้คลอดยาก แต่ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนคลอด ต้องให้อาหารข้นเพิ่มวันละ ½ กก. หรือไม่เกิน 1-1.5 กก./100 กก. ของน้ำหนักตัว เพื่อจะให้โคปรับระบบทางเดินอาหารให้คุ้นเคยกับการจะได้รับอาหารข้น ซึ่งโคต้องการมากขึ้นเมื่อคลอดและเริ่มให้นม จะทำให้โคให้นมเต็มที่ตามขีดความสามารถของมัน
คุณค่าทางโภชนะของอาหารหยาบบางชนิด (% ของวัตถุแห้ง)
วัสดุอาหาร
|
วัตถุแห้ง
|
โปรตีน
|
พลังงาน (TDN)
|
เยื่อใยหยาบ (CF)
|
เยื่อใย ADF
|
หญ้าขน
|
26.0
|
11.8
|
56.0
|
31.6
|
-
|
หญ้าเนเปียร์
|
22.0
|
9.5
|
55.0
|
30.8
|
-
|
หญ้ากินนี
|
38.2
|
9.3
|
52.0
|
32.7
|
44.1
|
หญ้าซิกแนล
|
36.3
|
9.5
|
-
|
-
|
40.1
|
หญ้ารูซี่
|
35.0
|
5.1
|
-
|
-
|
42.1
|
ถั่วชิราโต
|
32.0
|
15.2
|
-
|
-
|
55.2
|
ถั่วฮามาต้า
|
41.6
|
16.3
|
-
|
-
|
52.7
|
เปลือกและไหมข้าวโพดฝักอ่อน
|
18.0
|
12.6
|
69.9
|
21.0
|
27.3
|
ต้นข้าวโพด
|
22.8
|
9.1
|
60.3
|
30.4
|
38.2
|
ยอดอ้อย
|
31.0
|
6.4
|
52.0
|
33.9
|
-
|
ฟางแห้ง
|
90.0
|
3.8
|
47.0
|
32.8
|
50.8
|
ฟางหมักยูเรีย 5%
|
55.0
|
6.1
|
55.0
|
-
|
52.5
|
ซังข้าวโพด
|
90.5
|
1.7
|
48.0
|
-
|
49.7
|
ดัดแปลงจาก : ฉลอง (2530), Dearl (1982), Wanapat and Topark – Ngarm (1985) Wanapat (1987)
ตัวอย่างสูตรอาหารโคกำลังรีดนม (น้ำหนักสด)
วัสดุอาหาร
| สูตรอาหาร | |||||
1
|
2
|
3
|
4
|
5
|
6
| |
มันเส้น
|
43.6
|
42.1
|
38.4
|
28.4
|
13.6
|
-
|
ข้าวโพดป่น*
|
-
|
-
|
15.5
|
28.7
|
48.9
|
61.5
|
รำอ่อน
|
-
|
-
|
-
|
14.7
|
14.6
|
14.7
|
ปลายข้าว
|
14.9
|
15.0
|
12.8
|
-
|
-
|
-
|
กากถั่วเหลือง**
|
-
|
-
|
30.6
|
25.4
|
20.1
|
-
|
ใบมันแห้ง
|
-
|
40.1
|
-
|
-
|
-
|
-
|
ใบกระถิน
|
38.8
|
-
|
-
|
-
|
-
|
22.0
|
ยูเรีย
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
กำมะถัน
|
0.04
|
0.04
|
0.04
|
0.04
|
0.04
|
0.04
|
ไดแคลเซียมฟอสเฟต
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
เกลือ
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
0.9
|
รวม
|
100.0
|
100.0
|
100.0
|
100.0
|
100.0
|
100.0
|
โปรตีน, %
|
16.0
|
15.0
|
20.0
|
19.0
|
18.0
|
17.0
|
พลังงาน, %TDN
|
77.6
|
68.4
|
80.0
|
78.7
|
78.8
|
76.7
|
* สามารถใช้ข้าวฟ่างทดแทนได้ทั้งหมด
* สามารถใช้กากเมล็ดฝ้ายหรือกากถั่วเหลือง ทดแทนได้ 50 % ของกากถั่วเหลืองในสูตรอาหารข้น
ในกรณีของฟาง
โคนมกินฟางได้ 1.7 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัว หรือ 8.5 กิโลกรัมน้ำหนักวัตถุแห้ง และใช้อาหารเสริม 8.5 กิโลกรัมน้ำหนักวัตถุแห้ง คิดเป็นต้นทุนอาหารทั้งหมด = (8.5x2x100/92.3) + (8.5x7x100/90) = 84.53 บาท

โคนมกินข้าวโพดหมักได้ 2.3 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัว หรือ 11.5 กิโลกรัมน้ำหนักวัตถุแห้ง และใช้อาหารข้นเสริม 5.5 กิโลกรัมน้ำหนักวัตถุแห้ง คิดเป็นต้นทุนอาหารทั้งหมด = (11.5x2x100/30.1) + (5.5x7x100/90) = 119.19 บาท
จะเห็นได้ว่า ต้นทุนค่าอาหารทั้งหมดที่ใช้ ฟางเป็นแหล่งอาหารหยาบที่มีราคาต่ำกว่าการใช้ข้าวโพดหมัก เท่ากับ 34.66 บาท เทียบเท่ากับผลผลิตน้ำนม 3 กิโลกรัม (น้ำนมกิโลกรัมละ 11.5 บาท)
จากจุดนี้ ถ้าโคนมที่กินข้าวโพดหมักให้ผลผลิตน้ำนมที่มากกว่า 3 กก./ตัว/วัน เมื่อเทียบกับโคนมที่กินฟาง ให้เลือก ข้าวโพดหมัก แต่ถ้าโคนมที่กินข้าวโพดหมักให้ผลผลิตน้อยกว่า 3 กก./ตัว/วัน เมื่อเทียบกับโคนมที่กินฟาง ให้เลือกฟาง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นแนวทางหนึ่งในการเลือกใช้อาหารหยาบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการลดต้นทุนการผลิตน้ำนม
ตารางที่ 3 ตัวอย่างองค์ประกอบทางเคมีของแหล่งอาหารหยาบบางชนิดในประเทศไทย
วัตถุดิบอาหารหยาบ
|
วัตถุแห้ง
% |
เถ้า
% |
โปรตีนหยาบ
% |
ไขมัน
% |
NDF
% |
ADF
% |
พลังงาน
Mcal ME/kgDM |
ต้นอ้อย |
26.7
|
1.5
|
1.5
|
1.4
|
46.3
|
29.1
|
3.2
|
ต้นถั่วเหลืองติดฝักแห้ง |
90.5
|
7.4
|
17.4
|
5.1
|
50.6
|
32.5
|
2.4
|
ต้นข้าวโพดหวานหลังเก็บฝัก |
25.7
|
7.7
|
8.9
|
2.6
|
61.2
|
32.8
|
-
|
ต้นข้าวโพดหวานหลังเก็บฝักหมัก |
23.8
|
7.5
|
10.4
|
3.1
|
66.9
|
30.0
|
2.67
|
ข้าวโพดหมัก |
30.1
|
7.6
|
7.7
|
4.1
|
53.3
|
34.3
|
2.13
|
หญ้ารูซี่หมัก |
25.5
|
9.6
|
5.6
|
4.9
|
63.0
|
40.9
|
2.24
|
ถั่วคาวาเคด |
92.3
|
8.1
|
16.1
|
2.9
|
51.5
|
42.1
|
2.03
|
ใบกระถินแห้ง |
94.1
|
9.2
|
26.8
|
5.2
|
23.3
|
13.8
|
2.21
|
หญ้ากินนีสีม่วงแห้ง |
90.4
|
9.2
|
6.1
|
1.7
|
75.3
|
48.3
|
1.83
|
ฟางข้าว |
92.3
|
13.3
|
2.3
|
2.0
|
70.3
|
52.4
|
1.63
|
เปลือกและซังข้าวโพดหวาน |
19.8
|
3.9
|
6.9
|
3.2
|
70.9
|
35.6
|
-
|
เปลือกและซังข้าวโพดหวานหมัก |
22.0
|
3.1
|
6.3
|
2.3
|
77.3
|
33.9
|
-
|
เปลือกและซังข้าวโพดหวานหมัก ร่วมกับรำและฟอร์มาลีน |
28.3
|
7.1
|
10.9
|
11.7
|
58.0
|
28.9
|
2.68
|
ข้าวโพดหมัก |
30.1
|
7.6
|
7.9
|
3.2
|
52.9
|
28.9
|
2.38
|
หญ้ารูซี่หมักกับน้ำตาล 5% |
25.0
|
7.4
|
7.2
|
4.1
|
62.4
|
35.3
|
1.87
|
มันเฮย์ |
86.3
|
8.9
|
23.6
|
2.5
|
44.3
|
30.0
|
-
|
ฟางหมักยูเรีย |
53.7
|
17.5
|
7.6
|
-
|
80.5
|
56.6
|
-
|
ที่มา : วารสารสัตวบาล ปีที่ 21 ฉบับที่ 94
ผู้เขียน : รศ.ดร.ฉลอง วชิราภากร ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
*******************
การให้คะแนนความสมบูรณ์ร่างกายแม่โค 

![]() ![]() ![]() ภาพ คะแนนร่างกาย 6 ในระบบ 8 คะแนน
คะแนน 7
ส่วนหลังจะราบ เหมือนหลังม้า ไม่เห็นแนวกระดูกสันหลัง เพราะมีไขมันสะสมมากขึ้น จะต้องใช้มือกด จึงจะสัมผัสกระดูกสันหลัง ใต้โคนหางเริ่มมีไขมันสะสม
![]() ![]()
ภาพ คะแนนร่างกาย 7 ในระบบ 8 คะแนน
คะแนน 8
กระดูกสันลังถูกคลุมไปด้วยไขมันหนามาก ไม่สามารถสัมผัสได้แม้จะใช้มือกดแรง ๆ โคนหางมีไขมันสะสมหนามาก จนอัดแน่นตามซอกของโคนหาง จนดูเหมือนโคขุน
![]() ![]()
ภาพ คะแนนร่างกาย 8 ในระบบ 8 คะแนน
การให้คะแนนระบบ 1-5
การให้คะแนนระบบ 1-5 ใช้กันในประเทศสหรัฐอเมริกา คิดขึ้นโดย E.E.Wildman คะแนน 1 เป็นโคที่ผอมมาก ส่วนคะแนน 5 เป็นโคที่อ้วนมาก
คะแนน 1
เป็นสภาพที่โคผอมมาก สังเกตได้จากบริเวณโคนหางจะเป็นหลุมลึก กระดูกเชิงกรานและปีกกระดูกสันหลังเป็นร่องและเห็นชัดเจน สามารถสัมผัสได้ง่าย ไม่มีไขมันปกคลุม ทั้งสองข้างของแนวกระดูกสันหลังจะเห็นเป็นแอ่งลึก
![]() ![]()
คะแนน 2
เป็นสภาพที่โคผอม หลุมบริเวณโคนหางตื้นขึ้น ไขมันเริ่มมีการสะสมเพิ่มขึ้นบริเวณโคนหางนี้และบริเวณปุ่มกระดูกเชิงกรานซึ่งพอสัมผัสได้ กระดูกเชิงกรานยังเด่นชัด แต่เมื่อลูบดูจะไม่ถึงขั้นหนังติดกระดูก บริเวณปลายของปีกกระดูกสันหลังมีลักษณะกลมมน และยังสัมผัสได้จากการออกแรงกดเล็กน้อย
![]() ![]()
คะแนน 3
เป็นสภาพที่โคไม่อ้วนไม่ผอม ปานกลาง ไม่มีหลุมบริเวณโคนหาง จะสัมผัสได้ว่ามีไขมันมาปกคลุมบริเวณนี้มากขึ้น ปุ่มกระดูกเชิงกรานจะเริ่มมองเห็นไม่เด่นชัด แต่ยังพอสัมผัสได้โดยการออกแรงกด มีไขมันมาปกคลุมบริเวณปีกกระดูกสันหลังมากขึ้น แอ่งลึกระหว่างปุ่มกระดูกเชิงกรานและโคนหางเริ่มมีไขมันพอกหนา
![]() ![]() | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คะแนน 4
เป็นสภาพที่โคเริ่มอ้วน จะพบว่ามีไขมันพอกเต็มบริเวณโคนหาง ปุ่มกระดูกเชิงกรานกลมมนมากมีไขมันพอกแต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้จากการออกแรงกดมาก ๆ ปีกกระดูกสันหลังจะมองไม่เห็น
![]() ![]()
คะแนน 5
เป็นสภาพที่โคอ้วนมาก จะพบว่ามีไขมันมาพอกบริเวณโคนหางมากจนเห็นว่าโคนหางจมอยู่ในไขมันที่พอก ปุ่มกระดูกเชิงกรานและปีกกระดูกสันหลังจะมองไม่เห็น หรือแม้กระทั่งออกแรงกดลงไป เพราะจะปกคลุมไปด้วยไขมัน
![]() ![]()
คะแนนความสมบูรณ์ของร่างกายที่เหมาะสมในระยะต่าง ๆ ตามระบบ 1-5
การให้คะแนนร่างกายโคนมระบบ 1-5 ในทางปฏิบัติ
ในทางปฏิบัติ การให้คะแนนระบบ 1-5 ตามแบบของประเทศสหรัฐอเมริกา นักวิชาการหลาย ๆ ท่าน ได้แตกย่อยคะแนนออกไปอีก เป็นระดับจุดทศนิยม เพื่อความละเอียดมากยิ่งขึ้น เป็น .25 , .5 และ .75 ซึ่งการให้คะแนน ได้ทำเป็นแบบแผนที่แน่นอน เข้าใจและสามารถให้คะแนนได้ง่าย โดยพิจารณาดังนี้ คือ
![]()
1.เริ่มสังเกตจากด้านข้าง บริเวณสะโพก โดยดูแนวจากปุ่มกระดูกสะโพก ไปยังปุ่มกระดูกเชิงกรานและปุ่มกระดูกก้นกบ
![]()
หากเป็นรูปตัววี ในภาษาอังกฤษ ( V ) คะแนนจะอยู่ในช่วง 1.0-3.0 แต่จะเป็นคะแนนเท่าใดนั้นให้ดูส่วนอื่นประกอบ
![]()
ภาพ บริเวณสะโพกเป็นรูปตัว V
หากเป็นรูปตัวยู ในภาษาอังกฤษ ( U ) คะแนนจะอยู่ในช่วง 3.25-5 แต่จะเป็นคะแนนเท่าใดนั้นให้ดูส่วนอื่นประกอบ
![]()
ภาพ บริเวณสะโพกเป็นรูปตัว U
2. หากบริเวณสะโพกเป็นรูปตัว วี ( V ) ซึ่งหมายถึงช่วงคะแนน จะอยู่ในช่วง 1.0-3.0 แต่จะเป็นคะแนนเท่าไร ให้ดูส่วนอื่น ๆ ประกอบ ได้แก่
หากปุ่มกระดูกสะโพก กลม มน จะเป็นคะแนน 3.0
![]()
ภาพ ปุ่มกระดูกสะโพกกลมมน
-หากปุ่มกระดูกสะโพก แหลม กระดูกก้นกบยังมีไขมันหุ้ม จะเป็นคะแนน 2.75
![]()
ภาพ ปุ่มกระดูกสะโพกแหลมกระดูกก้นกบยังมีไขมันหุ้ม
-หากปุ่มกระดูกสะโพก แหลม กระดูกก้นกบมีไขมันหุ้มน้อย จะเป็นคะแนน 2.5
![]()
ภาพ ปุ่มกระดูกสะโพกแหลมกระดูกก้นกบมีไขมันหุ้มน้อย
-หากปุ่มกระดูกสะโพกแหลม กระดูกก้นกบไม่มีไขมันหุ้ม คะแนนจะน้อยกว่า 2.5 แต่เท่าไรให้ดูส่วนอื่นประกอบ คือ
![]()
ภาพ ปุ่มกระดูกสะโพกแหลมกระดูกก้นกบไม่มีไขมันหุ้ม
หากกระดูกเอว หรือกระดูกซี่โครงสั้นที่อยู่เหนือสวาป เป็นร่องค่อนข้างลึก คะแนน 2.25
หากกระดูกเอว หรือกระดูกซี่โครงสั้นที่อยู่เหนือสวาป เป็นร่องลึกมาก คะแนน 2.0
หากเป็นกระดูกสันหลัง เป็นแนวเห็นชัดเจน คะแนนน้อยกว่า 2.0
3 . หากบริเวณสะโพกเป็นรูปตัว ยู ( U ) ซึ่งหมายถึงช่วงคะแนน จะอยู่ในช่วง 3.25-5.0 แต่จะเป็นคะแนนเท่าไร ให้ดูส่วนอื่น ๆ ประกอบ
-หากยังมองเป็นเอ็นยึดกระดูกสะโพก และเอ็นยึดกระดูกโคนหาง คะแนน 3.2
![]()
ภาพ ยังเห็นเอ็นยึดกระดูกสะโพกและเอ็นยึดกระดูกโคนหาง
-หากมองเห็นเอ็นยึดกระดูกสะโพก แต่เอ็นยึดกระดูกโคนหางเห็นไม่ชัด คะแนน 3.5
![]()
ภาพ เห็นเอ็นยึดกระดูกสะโพก แต่เอ็นยึดกระดูกโคนหางเห็นไม่ชัด
-หากมองเห็นเอ็นยึดกระดูกสะโพก แต่เอ็นยึดกระดูกโคนหางมองไม่เห็นเลย คะแนน 3.75
![]()
ภาพ เห็นเอ็นยึดกระดูกสะโพก แต่เอ็นยึดกระดูกโคนหางมองไม่เห็น
-หากมองไม่เห็นเอ็นยึดกระดูกสะโพก และมองไม่เห็นเอ็นยึดโคนหาง คะแนน 4.0
-หากบริเวณเชิงกรานเรียบเป็นแผ่นแบน คะแนนมากกว่า 4.0
-บริเวณเชิงกรานเรียบเป็นแผ่นแบน กระดูกเอวหรือกระดูกซี่โครงสั้น ที่อยู่เหนือสวาป มองไม่เห็น คะแนน 4.25
-บริเวณเชิงกรานเรียบเป็นแผ่นแบน กระดูกก้นกบหายไป คะแนน 4.5
-บริเวณเชิงกรานเรียบเป็นแผ่นแบน ไม่สามารถมองเห็นกระดูกสะโพกได้ คะแนน 4.75
-กลมมนทั้งตัว คะแนน 5.0
******************
การเลี้ยงลูกโค และโคสาวทดแทน
เนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ให้ผลผลิตต่ำ ผสมติดยาก ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ และอายุมากเป็นต้น ดังนั้นจึง จำเป็นต้องมีการจัดหาโคเพศเมียหรือโคสาว เพื่อเป็นโคทดแทนจำนวนแม่โคที่คัดออกไป นมน้ำเหลือง นมน้ำเหลือง ( Colostrum ) เป็นนมที่ผลิตได้จากแม่โคในระยะแรกคลอด ซึ่งลูกโคแรกเกิดต้องได้ กินนมน้ำเหลืองที่รีดได้มื้อแรกโดยเร็วภายใน 6 ชั่วโมงหลังคลอด และไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง เพราะนม น้ำเหลืองมีโปรตีนสูง และส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติเป็นภูมิคุ้มกัน ( Immunoglobulins , Ig ) มี วิตามินเอ และวิตามินอี สูง นมน้ำเหลืองจะมีอยู่ในเต้านมแม่โคในระยะก่อนคลอดและหลังคลอดเพียง 3 – 5 วัน หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำนมธรรมดา ถ้าลูกโคกินนมน้ำเหลืองภายใน 24 ชั่วโมง ภูมิคุ้มกันต่าง ๆ จะสามารถดูดซึมเข้าสู่ผนังลำไส้และกระแสเลือดลูกโคโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบ แต่ หลังจากนี้ไปแล้วภูมิคุ้มกันจะไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ลำไส้ลูกโคในรูปนี้ได้ ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากภายใน 24 ชั่งโมงหลังคลอด ภายในกระเพาะลูกโคมีความเป็นกรดไม่พอที่จะทำให้น้ำย่อย ย่อยโปรตีนได้และ เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในนมน้ำเหลืองมีสารที่ต่อต้านการทำงานของน้ำย่อยโปรตีน Trypsin
สำหรับลูกโคที่ไม่ได้รับนมน้ำเหลือง จะเลี้ยงยาก อ่อนแอเพราะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคแต่ถ้าหากลูก
โคมีอายุประมาณ 1 เดือนขึ้นไปก็จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้บ้าง แต่ในกรณีที่ลูกโคไม่มีโอกาสได้รับนมน้ำเหลืองจากแม่ด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตามสามารถแก้ไขได้ดังนี้ 1.ใช้ ซีรั่ม ของแม่โคตัวอื่น ๆ ประมาณ 200 ซีซี. ผสมนมธรรมดาให้ลูกโคกิน ประมาณ 1 - 2 วัน ทั้งนี้เนื่องจากในซีรั่ม ของโคจะมีภูมิคุ้มกันอิมมูโนโกลบูลิน อยู่ 22 2. ใช้ไข่ 1 ใบ ผสมน้ำ 300 ซีซี. และน้ำมันละหุ่งครึ่งช้อนชา ตีให้เข้ากันแล้วนำไปผสมกับนม ธรรมดา 600 ซีซี. ให้กินติดต่อกัน 3 – 4 วัน ๆ ละ 3 มื้อ ไข่ขาวจะทำหน้าที่ต้านแบคทีเรีย และ Albumin ในไข่ก็จะดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดของลูกโคทำหน้าที่เหมือนภูมิคุ้มกันในนมน้ำเหลือง
3. ใช้ยาปฏิชีวนะผสมลงในนมธรรมดาให้ลูกโคกิน
ระบบทางเดินอาหารลูกโค
โคเป็นสัตว์กระเพาะรวม (Compound Stomach ) โดยแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ- กระเพาะผ้าขี้ริ้ว ( Rumen ) - กระเพาะรังผึ้ง ( Reticulum ) - กระเพาะสามสิบกลีบ ( Omasum ) - กระเพาะจริง ( Abomasum ) ส่วนลูกโคระยะแรก การทำงานของกระเพาะจะเหมือนกับสัตว์กระเพาะเดี่ยวทั่วไป เนื่องจาก กระเพาะหมักสามส่วนแรกยังไม่พัฒนามากนัก ดังนั้นเมื่อลูกโคกินน้ำนมก็จะไหลผ่านท่อ Esophageal groove ( reticular groove ) สู่กระเพาะที่สาม และกระเพาะจริง ( Abomasum ) ต่อไป แต่ถ้าลูกโคกินนมไม่ ถูกวิธีหรือกินนมมากเกินไปน้ำนมก็มีโอกาสที่จะตกลงไปในกระเพาะรูเมน ทำให้เกิดการหมักลูกโคอาจ
ท้องเสียได้
การเลี้ยงลูกโคนมแรกเกิด – หย่านม ของเกษตรกรในปัจจุบัน
วิธีการเลี้ยงลูกโคนมของเกษตรกรในปัจจุบันมีวิธีต่าง ๆ กัน พอสรุปได้ดังนี้1. เลี้ยงด้วยนมแม่ ( Whole Milk ) ซึ่งอาจจะให้กินโดยรีดนมให้กินบ้าง หรือเว้นเต้านมให้ลูกโค ดูด โดยให้กินนมประมาณ 4 กิโลกรัม ( ประมาณ 10 % ของน้ำหนักตัว ) หรือบางฟาร์มให้ถึง 5 – 6 กิโลกรัมและเพิ่มขึ้นตามขนาดและอายุของลูกโค ซึ่งทำให้ลูกโคมีอัตราการเจริญเติบโตดี และอาจเสริม อาหารข้นให้กินบ้าง แต่มักจะให้หลังจากลูกโคอายุ 1 เดือนแล้ว และลูกโคมักจะกินอาหารข้นน้อย เพราะได้รับนมมาก และหย่านมลูกโคเมื่ออายุ 3 – 4 เดือน วิธีนี้ใช้ต้นทุนการผลิตสูง และกระเพาะหมัก ของโคมีการพัฒนาช้าอาจทำให้ลูกโคมีอาการชะงักการเจริญเติบโตหลังหย่านมได้ 2. เลี้ยงด้วยนมเทียม ( Milk Replacer ) โดยให้นมเทียมแก่ลูกโคหลังจากกินนมน้ำเหลือง หรือ หลังจากที่กินนมแม่ไประยะหนึ่ง โดยอาจให้กินนมปริมาณเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักโค หรืออาจให้กินจำกัด พร้อมอาหารข้นและหญ้าเสริม ซึ่งวิธีนี้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าวิธีแรกเพราะนมเทียมมีราคาถูกกว่า สำหรับนมเทียม ( Milk Replacer ) หมายถึงนมที่มีการปรุงแต่งขึ้นจากวัตถุดิบหลายชนิด สำหรับ เลี้ยงลูกโคแทนนมแม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีหางนมผง ( skim milk powder ) เป็นหลัก วิธีการผสมนมเทียม
สำหรับเลี้ยงลูกโคโดยใช้นมเทียมผสมน้ำอุ่นในอัตราส่วน 1 ต่อ 7 – 9 ให้ลูกโคกินวันละ 4 ลิตร พร้อมอาหารข้นและหญ้า หรือคิดง่ายๆ ก็คือใช้นมเทียม 220 กรัม ( 2 ขีด ครึ่ง ) ผสมน้ำสุก 2 ลิตรเลี้ยงลูกโคได้ 1 มื้อ ส่วนปัญหาที่ควรระวังในการใช้นมเทียมได้แก่ การผสมนมเทียมจางเกินไปทำให้ลูกโคได้รับอาหารไม่พออาจทำให้โตช้า แคระแกรน รวมการใช้น้ำที่ไม่สะอาด หรือ ไม่ได้ต้มให้สุก เป็นสาเหตุทำ
ให้ลูกโคขี้ไหลได้วิธีการให้นมลูกโค หลังจากแยกลูกโคออกจากแม่แล้วควรใช้ขวดนมพลาสติคพร้อมจุกนมบรรจุนมน้ำเหลืองเพื่อให้ ลูกโคดูด หลังจากนั้นอาจป้อนนมโดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้ 1. ใช้ขวดนม ( Nipple Bottle ) ขวดนมที่ใช้โดยปกติแล้ว จะมีความจุประมาณ 2 ลิตร และจะมี หัวนมยางเท่า ๆ กับหัวนมจริง ๆ ของแม่โค เวลาใช้เลี้ยงลูกโคก็ให้ใส่นมลงในขวดจนเต็มแล้วใช้หัวนมปิด ขวด ให้ยกขวดนมให้สูงในระดับเดียวกับที่โคเงยหน้าขึ้นดูดนมแม่ การใช้ขวดนมมีข้อดีในแง่ที่ลูกโคได้ เงยหน้ากินจึงไม่มีโอกาสที่น้ำนมจะไหลตกไปสู่กระเพาะหมักซึ่งเป็นสาเหตุให้ลูกโคท้องเสียได้ 2. ใช้ถังธรรมดา ( Ordinary Pail ) เป็นวิธีง่ายและสะดวกในการใช้ถังดังกล่าวเลี้ยง ซึ่งอาจเป็น พลาสติกหรืออลูมิเนียมก็ได้ ส่วนการฝึกให้ลูกโคดูดนมจากถังโดยใช้นิ้วมือที่สะอาดประมาณ 4 นิ้วจุ่มลง ในน้ำนมแล้วให้ลูกโคดูดนิ้วมือ ต่อมาจึงดึงมือช้า ๆ ลงไปจุ่มในถังนมให้ลูกโคก้มลงดูดนมเองแล้วดึงมือ ออกเป็นจังหวะ ๆ ทำแบบนี้ 2 – 3 ครั้งลูกโคก็สามารถดูดนมเองจากถังเองได้ วิธีนี้ผิดจากท่าดื่มนมตาม ธรรมชาติ เพราะตามปกติลูกโคดูดนมโดยแหงนหน้าขึ้นดูดนมจากเต้านม ซึ่งน้ำนมจะผ่านจากหลอดคอ ไหลไปตามร่องหลอดคอ ( esophageal groove ) ไปถึงกระเพาะที่สี่ โดยไม่ผ่านกระเพาะที่หนึ่ง แต่ถ้าลูกโค ก้มหัวดูดนมจากถัง ร่องหลอดคอจะไม่ปิดนมจะไหลเข้ากระเพาะที่หนึ่ง อาจทำให้นมบูดและลูกโคท้องเสีย ได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย 3. ใช้ถังติดหัวนม ( Nipple Pail ) เป็นการแก้ข้อเสียในเรื่องการก้มหัวดูดนมในข้อที่ 2 โดยติด หัวนมยางไว้ด้านข้างใกล้กับก้นถัง ใช้ถังใส่ลงไปในห่วงที่แข็งแรงและแขวนถังด้านที่มีหัวนมอยู่ให้เอียง ประมาณ 45 องศา วิธีเป็นที่นิยมกันแพร่หลายในต่างประเทศ เพราะมีข้อดีเหนือกว่าการใช้ถังธรรมดาหลาย อย่าง เช่น หัดให้ลูกกินนมได้ง่ายกว่า ลูกโคจะกินนมได้ทีละน้อย ๆ และ ช้าๆ ซึ่งการกินเช่นนี้จะทำให้นม ไหลลงสู่กระเพาะที่ 4 ได้ทั้งหมด โดยไม่มีโอกาสไหลพลาดลงกระเพาะที่ 1 ได้ อาหารข้นสำหรับลูกโคระยะก่อนหย่านม การเลี้ยงลูกโคแบบให้นมคงที่พร้อมกับเสริมอาหารข้น และ หญ้าแห้ง นอกจากเป็นการลดต้นทุน การผลิตแล้วยังทำให้กระเพาะหมักของลูกโคมีการพัฒนาเร็วขึ้นอีกด้วย ดังนั้นอาหารข้นลูกโคในระยะนี้ จึงควรมีลักษณะดังนี้ 1. มีโปรตีน 18 – 20 % และพลังงานในรูปของยอดโภชนะย่อยได้ ( TDN ) 70 – 72 % 2. วัตถุดิบที่จะใช้ผสมอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน ควรมีกรดอะมิโนที่จำเป็น ( Essential amino acid ) อยู่ครบ เช่น ปลาป่น และ กากถั่วเหลือง เป็นต้น เนื่องจากลูกโคระยะนี้กระเพาะ หมักยังไม่พัฒนาที่จะสังเคราะห์อาหารได้โดยจุลินทรีย์ 3. มีแร่ธาตุ และ วิตามิน ครบถ้วน โดยใช้แร่ธาตุผง และ พรีมิกซ์เพื่อเป็นแหล่งวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินกลุ่มละลายในไขมันได้แก่ เอ ดี อี และ เค 4. อาจมีหางนมผงผสมลงในสูตรอาหารเพื่อกระตุ้นให้ลูกโคกินอาหารได้เร็ว 5. ห้ามใช้อาหารข้นที่มียูเรียแก่ลูกโคในระยะนี้ โดยเฉพาะอาหารแม่โคที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ถึงแม้จะมีโปรตีน 18 % แต่มักจะใส่ยูเรียเสมอ 6. ในกรณีที่หาซื้ออาหารข้นลูกโคระยะก่อนหย่านมไม่ได้ อาจใช้อาหารหมูเล็กแทนก็ได้ ตัวอย่างสูตรอาหารลูกโคระยะก่อนหย่านม ( โปรตีน 18 – 20 , พลังงาน , TDN 72 % ) 1. เม็ดข้าวโพดป่น 50 กิโลกรัม 2. รำละเอียด 20 กิโลกรัม 3. กากถั่วเหลือง 25 กิโลกรัม 4. ปลาป่น 3 กิโลกรัม 5. แร่ธาตุผง ( สูตรกรม ปศุสัตว์ ) 1 กิโลกรัม ( ถ้าเป็นแบบเข้มข้นดูคำแนะนำข้างถูก ) 6. หินฝุ่น 1 กิโลกรัม 7. วิตามิน & พรีมิกซ์ผง ( ดูคำแนะนำข้างถุง ) วิธีการหย่านมลูกโค ปัจจุบันมีการหย่านมลูกโคเมื่ออายุประมาณ 3 เดือน เกษตรกรบางรายอาจหย่านมลูกโคที่อายุ ประมาณ 2 เดือน ถึง 2 เดือนครึ่ง ก็ได้โดยให้พิจารณาจากปริมาณอาหารข้นที่ลูกโคกินได้ไม่ต่ำกว่า 700 กรัม / วัน ( 7 ขีด ) เพื่อไม่ให้มีปัญหาการชะงักการเจริญเติบโตของลูกโคหลังหย่านม สำหรับวิธีการหย่านมลูกโคสามารถทำได้ทั้งวิธีการหยุดนมทันที แต่ต้องไม่ย้ายคอกเพราะลูกโคจะ เครียดควรเลี้ยงคอกเดิมไปก่อนประมาณ 1 เดือน กับการหย่านมโดยวิธีลดปริมาณน้ำนมลงประมาณ 1 สัปดาห์ จึงหยุดนม พร้อมกับตั้งอาหารข้น และ น้ำสะอาดไว้ให้กินตลอดเวลา พฤติกรรมการแสดงการเป็นสัด ( Heat ) ของโค เกษตรกรจะรู้ได้อย่างไรว่าโคสาวตัวไหนเป็นสัด พร้อมที่จะผสมพันธุ์ โดยให้สังเกตการแสดง พฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ หลาย ๆ อย่างพร้อมกันดังนี้ 1. โคตัวนั้นจะแยกตัวออกจากฝูง ส่งเสียงร้อง กระวนกระวาย ไม่สนใจอาหาร 2. ไล่ขี่ตัวอื่น ๆ ต่อมาโคที่เป็นสัดจริง ๆ จะยอมนิ่งให้โคตัวอื่นขี่หลัง 3. อวัยวะเพศบวมแดง 33 4. มีน้ำเมือกใสเหนียวไหลออกจากช่องคลอด โดยเฉพาะขณะที่โคไล่โดดขี่ตัวอื่นๆ หรือขณะ นอนพัก การจัดการฝูงโคสาวท้องและโคสาวท้องขณะคลอดลูก โคสาวเมื่อผสมเทียมแล้ว ถ้าไม่มีการกลับสัดควรมีการล้วงตรวจท้องทางทวารหนัก ( Rectal palpation ) โดยผู้ที่มีความชำนาญ ประมาณ 60 วันนับจากวันผสม หรือ ผู้ที่มีประสบการณ์และความ ชำนาญมากอาจสามารถตรวจท้องที่ประมาณ 45 วัน โคสาวในระยะนี้ให้อาหารข้น และ อาหารหยาบ ตามปกติ เหมือนโคสาวทั่วไป จนถึงท้องประมาณ 7 – 8 เดือนจึงมีการเพิ่มอาหารข้นเนื่องจากลูกโคใน ท้องระยะนี้มีการเจริญเร็วมาก ( ดูจากจัดสัดส่วนอาหาร บทที่ 5 น้ำหนักโค 400 กิโลกรัม ) ตามปกติโค นมตั้งท้องประมาณ 280 วัน ทั้งนี้อาจมีการคลอดก่อน หรือ หลังได้ประมาณ 10 วัน โคสาวท้องอาจ มีการบวมน้ำ ( Edema ) เมื่อท้องประมาณ 8 เดือนเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในการพัฒนาเต้า นมแต่ถ้ามีการบวมน้ำมากอาจต้องงดแร่ธาตุที่มีเกลือลงเพราะเมื่อโคสาวท้องคลอดลูกอาจทำให้ผลผลิต น้ำนมน้อยกว่าปกติ สำหรับปัญหาอีกประการหนึ่งได้แก่การคลอดยากเนื่องจากลักษณะร่างกายของโค สาวเอง ได้แก่ กระดูกเชิงกรานแคบ ลูกโคมีขนาดใหญ่และอยู่ในตำแหน่งผิดท่า โคสาวมีขนาดเล็กกว่า ปกติ หรือ อาจเนื่องมาจากพ่อพันธุ์ที่ให้ลูกตัวใหญ่ ดังนั้นจึงควรมีการเฝ้าระวังขณะแม่โคสาวคลอดลูก ซึ่งสังเกตจากท่าคลอดปกติ และ ผิดปกติต่าง ๆ การเลี้ยงและการจัดการโคสาว การจัดการโคหย่านม ถึง อายุผสมพันธุ์ โครุ่นหลังหย่านมเป็นระยะที่กระเพาะหมัก ( Rumen ) มีการพัฒนาพร้อมที่จะเป็นสัตว์กระเพาะ รวมคือโคสามารถกินและย่อยอาหารหยาบได้ แต่เนื่องจากยังมีความจุจำกัดคือประมาณ 50 % ของ กระเพาะทั้งหมดเมื่อเปรียบเทียบกับแม่โคที่โตเต็มจะมีความจุกระเพาะหมักถึง 70 % ดังนั้นเกษตรกรจึง ควรมีการเสริมอาหารข้นที่มีโปรตีนประมาณ 16 - 18 % ตัวละ 2 – 4 กิโลกรัม ขึ้นกับคุณภาพของอาหาร หยาบ( ดูบทที่ 5 การจัดสัดส่วนอาหารโครุ่นที่มีน้ำหนัก 150 - 350 กิโลกรัม ) และยังไม่ควรมียูเรียใน อาหารแต่ควรรอถึงโครุ่นมีอายุมากกว่า 6 เดือน แต่ปัญหาที่สำคัญคือเกษตรกรส่วนใหญ่มักให้อาหารข้น โปรตีนค่อนข้างต่ำ คือเพียง 12 – 16 % และให้ในปริมาณที่น้อย รวมทั้งมักนำไปเลี้ยงรวมกับฝูงโคสาวที่ มีขนาดใหญ่กว่าทำให้โครุ่นที่หย่านม จน ถึงอายุประมาณ 6 เดือน กินไม่ทันโคสาวที่มีอายุมากกว่า ประกอบกับปัญหาสุขภาพที่มักเกิดกับโคระยะนี้ได้แก่ พยาธิทางเดินอาหาร และ ตาอักเสบ ทำให้โคมี น้ำหนักและอัตราการเจริญเติบโตต่ำ ขนหยอง ระบบเต้านมที่ต้องมีการเจริญพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง อายุ 3 - 9 เดือนต้องชะงักลงอันเนื่องมาจากได้รับอาหารไม่พอเพียง ส่งผลให้ผสมติดช้า และให้ผลผลิต น้ำนมต่ำกว่าความสามารถทางพันธุกรรมเมื่อคลอดลูก ดังนั้นโคในระยะนี้จึงควรแยกเลี้ยงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่โครุ่นอายุ 3 - 6 เดือน , โครุ่นอายุ 6 – 12 เดือน และ โคสาวอายุ 1 ปี ถึงผสมพันธุ์ น้ำหนักและอายุโคสาวที่เหมาะสมในการผสมพันธุ์ สำหรับเกษตรกรที่มีการจัดการให้อาหารฝูงโคสาวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โคสาวมีการ เจริญเติบโตอย่างเหมาะสม โคสาวพันธุ์โฮลส์ต์ฟรีเชี่ยนจะะแสดงอาการเป็นสัดครั้งแรกเมื่ออายุเฉลี่ย ประมาณ 8 - 10 เดือน แต่เกษตรกรยังไม่ควรผสมพันธุ์ควรรอจนโคสาวมีอายุประมาณ 15 - 18 เดือน และมีน้ำหนักประมาณ 280 – 300 กิโลกรัมสำหรับโคนมพันธุ์ไทยฟรีเชี่ยน และ น้ำหนักประมาณ 350 กิโลกรัมสำหรับโคนมพันธุ์โฮลส์ไตน์ฟรีเชี่ยน แต่สำหรับเกษตรกรที่มีการจัดการให้อาหารต่ำกว่าความ ต้องการของโคทำให้โคสาวมีน้ำหนักน้อยกว่า 250 กิโลกรัมจึงควรพิจารณาชะลอการผสมพันธุ์จนโคสาว อายุประมาณ 2 ปีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา การคลอดยากและแม่โคทรุดโทรมหลังคลอดอย่างรวดเร็ว
การเลี้ยงโคขุน
การเลี้ยงโคขุน หมายถึง การเลี้ยงโคให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับค่าอาหารที่ค่อนข้างดีอย่างเต็มที่ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คือนอกจากจะให้โคกินอาหารหยาบ (หญ้าหรือฟาง) แล้วยังมีการให้กินอาหารข้น (อาหารเสริม) เพิ่มเติมอีกด้วย ทำให้โคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้เนื้อที่มีคุณภาพดี
ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลี้ยงโคขุน
การที่จะเลี้ยงโคขุนเพื่อให้ได้กำไรนั้น ท่านจะต้องพิจารณาและตอบคำถามต่างๆ ต่อไปนี้ว่าท่านจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้หรือไม่ ถ้าท่านแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ ท่านก็จะสามารถเลี้ยงโคขุนได้ โดยไม่ขาดทุน คือ
ประเภทและธุรกิจการเลี้ยงโคขุน
1. เลี้ยงแม่โคเพื่อผลิตลูก ขายให้กับผู้เลี้ยงโคขุน การเลี้ยงโคประเภทนี้ ผู้เลี้ยงจะต้องเลี้ยงแม่โคเพื่อใช้ผสมกับพ่อโคพันธุ์ดี หรือผสมเทียมโดยใช้น้ำเชื้อของพ่อโคเนื้อพันธุ์ดี เพื่อผลิตลูกโคเพศผู้ที่มีลักษณะเหมาะสมต่อการขุน ส่วนลูกโคตัวเมียผู้เลี้ยงอาจจะคัดเอาไว้เป็นแม่ทดแทนในฝูงต่อไป
2. เลี้ยงโคขุน ผู้เลี้ยงจะหาซื้อโครุ่นเพศผู้จากแหล่งต่างๆ มาขุนอาจเป็นการขุนแบบโคมัน ขุนลูกโคอ่อน หรือขุนโคขุนคุณภาพดี
3. เลี้ยงแม่โคผลิตลูก และขุนเอง เป็นการเลี้ยงที่รวมเอาธุรกิจแบบที่ 1 และ 2 รวมกัน เมื่อมีลูกโคเพศผู้เกิดขึ้นก็จะนำมาขุนส่งโรงฆ่า
ลำดับขั้นตอนในการดำเนินงานเลี้ยงโคขุน
1. พิจารณาถึงความเป็นไปได้หรือความพร้อมของตนเองดังกล่าวแล้ว
2. ศึกษาวิธีการเลี้ยงโดยอ่านจากเอกสารต่างๆ หรือเข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งหน่วยงานราชการต่างๆ จัดขึ้น และควรจะไปเยี่ยมชมกิจการของเกษตรกรที่เลี้ยงโคขุนอยู่แล้ว
3. รวมกลุ่มผู้สนใจ การเลี้ยงโคขุนสำหรับเกษตรกรรายย่อยและรายขนาดกลางจะได้ผลดีต่อเมื่อมีการรวมกลุ่ม ซึ่งจะทำให้สะดวกและประหยัดในหลายๆ ด้าน เช่น การจัดซื้อลูกโคมาขุน การจัดซื้ออาหารและการดำเนินการเรื่องตลาดเพราะผู้ซื้อย่อมต้องการให้มีโคขุนป้อนตลาดอย่างต่อเนื่องและคุณภาพสม่ำเสมอ
4. ติดต่อตลาด ซึ่งควรทำในนามกลุ่ม
5. การเตรียมเงินทุน
6. จัดเตรียมแปลงหญ้า ต้องลงมือปลูกหญ้าก่อนที่จะนำโคเข้าคอกขุนประมาณ 2 เดือน
7. สร้างคอก
8. จัดเตรียมอาหารข้น
9. ซื้อโคเข้าคอก
10. ลงมือเลี้ยงโคขุน
11. วางแผนระยะยาว กล่าวคือคาดว่าในอนาคตจะมีผู้เลี้ยงโคขุนกันมากขึ้น คงจะหาซื้อลูกโคขุนได้ยากขึ้น หรือซื้อได้ในราคาแพง จึงควรจะวางแผนระยะยาว โดยหาซื้อแม่โคมาเลี้ยงไว้บ้าง หรือหาลู่ทางสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับผู้เลี้ยงโค
วิธีการขุนโคเนื้อ
วิธีขุนโค แบ่งออกเป็น 2 วิธี ตามการให้อาหารคือ1. การขุนด้วยการให้อาหารหยาบเพียงอย่างเดียว โดยจะต้องได้รับหญ้าสดที่มีคุณภาพดี อาจตัดให้กินหรือปล่อยเลี้ยงในทุ่งหญ้า การขุนวิธีนี้ไม่แตกต่างกับการเลี้ยงโคเนื้อทั่วไปมากนัก จะต้องใช้ระยะเวลานานในการเพิ่มน้ำหนักตัวตามต้องการ อีกทั้งยังได้เนื้อที่ไม่ค่อยมีคุณภาพดีเท่าที่ควร แต่ก็อาจเหมาะสมกับความต้องการของตลาดในท้องถิ่น ซึ่งไม่ต้องการบริโภคเนื้อที่มีคุณภาพสูงมากนัก แลค่าใช้จ่ายในการขุนวิธีนี้ก็ยังต่ำอีกด้วย 2. การขุนด้วยอาหารหยาบ เสริมด้วยอาหารข้น เป็นธุรกิจการขุนโคที่ต้องลงทุนสูง มุ่งให้ได้เนื้อโคขุนคุณภาพดี ส่งขายให้กับตลาดเนื้อชั้นสูง แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ตามอายุและคุณภาพเนื้อที่ได้ดังนี้ คือ 2.1 การขุนลูกโคอ่อน เพื่อส่งโรงฆ่าเมื่ออายุน้อย ส่วนใหญ่นิยมใช้ลูกโคนมเพศผู้ เริ่มขุนตั้งแต่ลูกโคอายุ 1 สัปดาห์ หรือหลังจากได้รับนมน้ำเหลืองตามกำหนดแล้ว อาหารที่ใช้ลงทุนจะใช้หางนมผงเป็นหลัก ใช้เวลาขุนจนลูกโคมีอายุประมาณ 6-8 เดือน โคจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วได้เนื้อที่คุณภาพดี เมื่อส่งโรงฆ่า 2.2 การขุนโคที่เริ่มขุนเมื่อโคมีอายุประมาณ 1 ปีครึ่ง หรือมีน้ำหนักประมาณ 200-250 ก.ก. ใช้ระยะเวลาขุนประมาณ 6 เดือน ให้ได้น้ำหนัก 400-450 ก.ก. แล้วส่งโรงฆ่า เป็นรูปแบบการขุนที่นิยมกันแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนใหญ่นิยมใช้โคเนื้อลูกผสมที่ทดสอบแล้วว่า มีการเจริญเติบโตดี คุณภาพเนื้อที่ได้จะดีกว่าการขุนในรูปแบบอื่นมาก และเกษตรกรหันมายึดเป็นอาชีพกันมากขึ้นในปัจจุบัน 2.3 การขุนโคที่มีอายุมาก หรือ โคที่โตเต็มวัยแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นโคที่ปลดจากการใช้แรงงาน ซึ่งมีอายุมักจะไม่ต่ำกว่า 5 ปี เป็นการขุนเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อเพียงบางส่วน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มไขมันหุ้มซาก โดยไม่สนใจไขมันแทรกในเนื้อ จะใช้เวลาในการขุนประมาณ 3 เดือน โคที่ได้จากการขุนประเภทนี้ โดยทั่วไปนิยมเรียกกว่า "โคมัน" การคัดเลือกโคเข้าขุน โคขุนที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
หลักในการพิจารณาจัดหาโคเข้าขุน
1. พันธุ์โค ในการเลือกซื้อโคเข้ามาขุนควรจะพิจารณาเลือกซื้อพันธุ์โคที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโคขุนด้วย เช่น โคพันธุ์เมืองตลาดชั้นสูงไม่ต้องการเพราะ ซากเล็ก ไขมันแทรกน้อย หน้าตัดเนื้อสันเล็ก พันธุ์โคที่เหมาะสมในการนำมาขุนควรเป็นโคลูกผสมที่มีสายเลือดโคยุโรปอยู่ในช่วง 50-62.5% เพราะพบว่าโคที่มีสายเลือดของโคยุโรปอยู่สูงกว่านี้ จะมีปัญหาในการเลี้ยงในภาพภูมิอากาศของประเทศไทย พันธุ์โคที่เหมาะสมต่อการขุน ได้แก่ โคลูกผสมบราห์มันXพันธุ์พื้นเมืองXพันธุ์ชาร์โรเล่ส์, บราห์มันXชาร์โรเล่ส์, บราห์มันXพื้นเมือง, บราห์มันXลิมูซีน, ซิมเมนทอล, เดร้าท์มาสเตอร์, บราห์มันXแองกัส (แบงส์กัส) เป็นต้น
2. เพศโค ลูกโคที่จะนำมาขุนควรเป็นเพศผู้เพราะการเจริญเติบโตและเปอร์เซนต์ซากหลังชำแหละจะสูงกว่าเพศเมีย อีกทั้งราคาก่อนขุนก็ถูกกว่าอีกด้วย ส่วนเหตุผลที่จะต้องตอนลูกโคเพศผู้ก่อนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยง กล่าวคือ หากคอกขุนเป็นคอกขังเดี่ยวก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอน มีการศึกษาพบว่า โครุ่นเพศผู้ไม่ตอน จะมีการเจริญเติบโตสูงกว่าโครุ่นเพศผู้ตอน และมีประสิทธิภาพการใช้อาหารสูงกว่า แต่โคตอนจะมีไขมันแทรกดีกว่า หากตลาดมีความต้องการและให้ราคาดีก็ควรจะตอน ในกรณีที่ต้องเลี้ยงโคขุนในคอกรวมกันและขนาดของโคมีความแตกต่างกัน การตอนจะช่วยลดความคึกคนองของโคที่ใหญ่กว่า ลดการรังแกตัวอื่นลงไปได้
3. อายุของโค มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาขุน กล่าวคือ ถ้าขุนโคอายุน้อยจะต้องใช้เวลามากกว่าการขุนโคใหญ่ เช่น โคหย่านม ใช้เวลาขุนประมาณ 10 เดือน แต่ถ้าเป็นโคอายุ 1 ปี ใช้เวลาประมาณ 8 เดือน โคอายุ 1.5 ปี ใช้เวลาขุนประมาณ 6 เดือน โคอายุ 2 ปี ใช้เวลาขุนประมาณ 4 เดือน และโคโตเต็มวัยใช้เวลาขุนประมาณ 3 เดือน ดังนั้น ถ้าตลาดระยะสั้นดีหรือต้องการผลตอบแทนเร็วก็ควรขุนโคใหญ่ แต่ถ้าตลาดระยะยาวดีหรือตลาดยังไม่แน่นอนควรขุนโคเล็ก เพื่อยืดเวลาและโคจะเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะประวิงเวลาไม่ได้เพราะระยะหลังๆ ของการขุนโคใหญ่จะโตช้ามาก
ถ้าผู้เลี้ยงมีประสบการณ์ในการเลี้ยงโคขุนน้อยควรจะขุนโคใหญ่ เพรามีปัญหาในการเลี้ยงดูน้อยกว่าโคเล็ก แต่ถ้าผลิตเนื้อโคขุนส่งตลาดชั้นสูง โคที่ขุนเสร็จแล้วไม่ควรมีอายุเกิน 3 ปี และถ้าผลิต "โคมัน" ส่งตลาดพื้นบ้าน ควรจะเลือกโคเต็มวัยมาขุนเพื่อจะได้มีไขมันมากและสีเหลือง
แหล่งที่จะหาซื้อโคมาขุน
โคที่จะนำมาขุน อาจได้จากโคในคอกของผู้เลี้ยงเอง ซึ่งเลี้ยงแม่ผลิตลูกอยู่แล้ว หรือซื้อลูกโคจากผู้ผลิตลูกโคขาย ในบางท้องที่ซึ่งมีตลาดนัดโค-กระบือ ผู้เลี้ยงโคขุนอาจหาซื้อได้จากตลาดนักต่างๆ การซื้อขายโคมีชีวิตส่วนใหญ่ทำการขายหลังฤดูเก็บเกี่ยว
สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตลาดนัดค้าสัตว์ได้จากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดในท้องถิ่น
การเตรียมโคก่อนขุน
ทำความสะอาดคอกที่จะขุน เตรียมที่ให้น้ำ และรางอาหารให้พร้อม นำโคเข้าคอกขุน ถ่ายพยาธิทั้งภายใน-นอก ฉีดวัคซีนตามที่กรมปศุสัตว์กำหนดให้ทำในพื้นที่นั้นๆ ระยะ 21 วันแรกเป็นระยะให้โคปรับตัวกับการกินอาหารข้น (Pretest) โดยให้อาหารดังนี้
วันที่ 1ให้โคกินอาหารข้น 1 ก.ก. ร่วมกับหญ้าสดหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
วันที่ 2 ให้โคกินอาหารข้น 2 ก.ก. ร่วมกับหญ้าสดหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
วันที่ 3 ให้โคกินอาหารข้น 3 ก.ก. ร่วมกับหญ้าสดหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
วันที่ 4 ให้โคกินอาหารข้น 4 ก.ก. ร่วมกับหญ้าสดหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
วันที่ 5 จนถึงวันที่ 21 ให้กินวันละ 4 ก.ก. ร่วมกับหญ้าสดหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
วันที่ 22 เป็นวันเริ่มต้นขุน ให้โคกินเต็มที่ ร่วมกับอาหารข้นและอาหารหยาบ
การวัดรอบอกเพื่อประมาณน้ำหนัก
ผู้ขุนควรทราบน้ำหนักโคที่ขุนเป็นระยะๆ เพื่อที่จะประมาณการใช้อาหารข้นและทราบความเจริญเติบโตในระยะต่างๆ ผู้เลี้ยงรายย่อยส่วนใหญ่ไม่มีตาชั่งขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ชั่งโคได้ ให้วัดความยาวรอบอกโดยใช้เชือกวัดที่หลังซอกขาหน้าติดกับหลังหนอก ดึงเชือกให้ตึงตามภาพที่ 3 นำเชือกไปวัดหาความยาวจากตลับเมตรหรือสายวัด อ่านหน่วยความยาวเป็นเซนติเมตร จากความยาวดังกล่าวาามารถนำไปหาน้ำหนักโคโดยประมาณได้จากตารางที่ 1
ตารางที่ การประเมิรน้ำหนักโคมีชีวิต สำหรับโคลูกผสมเพศผู้ไม่ตอน
ที่มา : ปรารถนา 2533
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น