วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557


สถานการณ์การเลี้ยงโคเนื้อ-โคนมในไทย
สถานีผสมเทียมเมื่อ ปี พ.ศ. 2502
สถานีผสมเทียม เมื่อ พ.ศ.2502

  • การเลี้ยงโคนม เพื่อรีดนม ได้ทำกันมาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการเลี้ยงกันในหมู่ชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพื่อผลิตน้ำนมจำหน่ายให้กับชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยกัน โคที่เลี้ยงเพื่อรีดนมส่วนใหญ่เป็นโคพื้นเมืองและโคอินเดีย ซึ่งให้น้ำนมเฉลี่ยแค่วันละ 2.6 กิโลกรัม จากนั้น ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่น ได้มีการนำโคพันธุ์ขาว-ดำ จากประเทศสิงคโปร์เข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย เพื่อเป็นเสบียงให้กับทหารในกองทัพ ทำให้ต่อมา โคพันธุ์ขาว-ดำ ได้แพร่กระจายไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ พร้อมทั้งได้ผสมพันธุ์กับโคพื้นเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้โคนมภายในประเทศส่วนใหญ่ได้กลายเป็นโคลูกผสมพันธุ์ขาว-ดำ ลูกที่เกิดมาสามารถให้ปริมาณน้ำนมเฉลี่ยวเพิ่มมากขึ้นเป็น 5 กิโลกรัม เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โคนมพันธุ์ขาว-ดำ จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลี้ยงโคนม เนื่องจากสามารถให้น้ำนมปริมาณที่มากกว่า จึงได้มีการนำเข้าโค พันธุ์ขาว-ดำจากหลาย ๆ ประเทศเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย
  • ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการทดลองทำการเลี้ยงโคนมสายพันธุ์ยุโรป ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ โดยสถาบันการศึกษาทางเกษตรกรรม การทดลองนี้ เพื่อประเมินว่า โคนมสายพันธุ์ยุโรปสามารถเลี้ยงในประเทศไทยซึ่งมีสภาพภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้นได้หรือไม่ ผลการทดลองปรากฏว่าโคสายพันธุ์ยุโรปสามารถเลี้ยงได้ในเมืองไทยจึงมีการปรับปรุงและพัฒนาการเลี้ยงโคนมพร้อมทั้งมีการเผยแพร่ความรู้ในการเลี้ยงโคนมออกสู่เกษตรกร ทำให้เกษตรกรเริ่มให้ความสนใจในการเลี้ยงโคนม และทำการเลั้ยงโคนมเป็นอาชีพ พร้อมทั้งได้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตน้ำนมซึ่งทันสมัย ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ปัจจุบันมีโรงงานแปรรูปนมสดมากมาย อุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมได้กระจายไปสู่ทุกภาคของประเทศอย่างรวดเร็ว
    การรีดเก็บน้ำนมโดยใช้เครื่องรีด
  • โคเป็นสัตว์กีบคู่ อยู่ในตระกูล Bovidae มีกระเพาะอาหาร 4 กระเพาะ มีความสามารถพิเศษคือ สามารถสำรอกอาหารซึ่งกลืนเข้าไปแล้วออกมาเคี้ยวใหม่ได้ เรียกว่า เคี้ยงเอื้อง ดังนั้นจึงเรียกว่าเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง (Ruminant)
  • โคนมที่ทำการเลี้ยงอยู่ในประเทศไทย สามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ พวกโคยุโรป(Bos taurus)และโคอินเดีย(Bos indicus) ลักษณะที่แตกต่างกันของโคทั้ง 2กลุ่มนี้ ที่เห็นได้คือ โคอินเดียจะมีตะโหนกใหญ่ ส่วนโคยุโรปจะไม่มีตะโหนก โคอินเดียจะเลี้ยงง่าย ทนต่อความร้อน ทนต่อโรคและแมลง ส่วนโคยุโรปจะไม่ทนต่อความร้อน ไม่ทนต่อโรคและแมลง แต่ถ้าการเลี้ยงและการจัดการดี โคยุโรปจะให้น้ำนมปริมาณมากกว่าโคอินเดียเมื่อโคทั้ง 2 กลุ่ม มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน จึงได้มีการผสมพันธุ์โคยุโรปและโคอินเดียเข้าด้วยกันเพื่อหวังว่าลูกที่เกิดมาจะมีลักษณะที่ดีของทั้ง 2 กลุ่ม อยู่ในตัวเดียวกัน ทำให้เกิดมีโคนมลูกผสมขึ้นมากมาย
  • โคพันธุ์โฮลสไตน์ (Holestein-Friesian)
  • โคพันธุ์โฮลสไตน์ หรือพันธุ์ฟรีเชี่ยน หรือพันธุ์ขาว-ดำ เป็นโคนมสายพันธุ์ยุโรป (Bos taurus)มีแหล่งกำเนิดจากทางตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อนำโคพันธุ์นี้ไปเลี้ยงในประเทศอังกฤษ จึงได้ชื่อว่าพันธุ์ฟรีเชี่ยน(Friesian)  แต่ในทวีปยุโรปบางประเทศเรียกโคพันธุ์นี้ว่าพันธุ์ดำและขาว (Black and White) เป็นโคที่นิยมเลี้ยงและแพร่กระจายอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากที่สุด สามารถให้ปริมาณน้ำนมมากที่สุดในบรรดาโคนมทุกสายพันธุ์ในประเทศไทยได้มีการนำเข้ามาเลี้ยงตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยหน่วยส่งบำรุงกำลังของกองทัพญี่ปุ่นต่อจากนั้นก็มีผู้นำเข้ามาจากฮ่องกงและออสเตรเลีย ฯลฯ กรมปศุสัตว์ได้นำโคพันธุ์โฮลสไตน์-ฟรีเชี่ยนมาใช้เป็นพันธุ์หลักในการผลิตและปรับปรุงพันธุ์โคนมของประเทศหลังจากปี พ.ศ. 2499 เป็นต้นมา
  • : ลักษณะประจำพันธุ์ :
โคเพศผู้พันธุ์โฮลสไตน์-ฟรีเชี่ยน
  • มีสีขาวและดำตัดกันอย่างชัดเจน โดยการกระจายสีที่นิยมกันคือ บริเวณขาตั้งแต่ข้อเข่าลงไป ส่วนท้องและเต้านมเป็นสีขาว ส่วนศีรษะและลำตัวมีสีขาวสลับดำในสัดส่วนที่เหมาะสม       
  • เป็นโคที่มีขนาดโครงร่าง (framesize)ใหญ่กว่าโคนมพันธุ์อื่น ๆ โคเพศเมียมีลักษณะลำตัวเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม กล่าวคือ ส่วนและไหล่เรียวบาง ส่วนท้ายโดยเฉพาะเต้านมมีขนาดใหญ่ได้รูปทรงงดงาม     
  • สามารถให้น้ำนมโดยเฉลี่ยได้มากกว่า 8,000 กิโลกรัมต่อระยะการให้น้ำนม (305 วัน) และมีไขมันเฉลี่ย3.5% ขึ้นไป 
  • มีอายุถึงวัยเจริญพันธุ์ (Purberty) เร็วคือ ระหว่าง 12-15 เดือน สามารถผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 18 เดือนสามารถให้ลูกตัวแรกและให้น้ำนมได้เมื่ออายุ 2 ปี โตเต็มที่เมื่ออายุ 6 ปี
  • โคเพศผู้โตเต็มที่มีน้ำหนัก 800-1,000 กิโลกรัม โคเพศเมียหนัก 600-700 กิโลกรัม
  • ไม่ทนร้อน ถ้าอุณหภูมิของอากาศสูงเกินกว่า 26 องศาเซลเซียส โคพันธุ์นี้จะหอบ และไม่ค่อยกินอาหารทำให้ปริมาณน้ำนมลดลง
  • ไม่ทนแมลง โดยเฉพาะเห็บ มักป่วยเป็นโรคพยาธิในเม็ดเลือด (Blood parasite)ได้ง่าย

  • ในอดีต การเลี้ยงโคเนื้อในประเทศไทยเน้นหนักไปในทางการใช้แรงงาน เช่น ช่วยในการไถนา หรือทำไร่ เมื่อโคเหล่านี้มีอายุมาก ใช้แรงงานไม่ไหว เจ้าของมักจะส่งเข้าโรงฆ่า ดังนั้นเนื้อโคที่ใช้บริโภคในอดีต มักจะมาจากโคที่ใช้แรงงานเหล่านี้ถูกขายเข้าโรงฆ่าเมื่อมีอายุมาก หรือหมดสภาพที่จะใช้แรงงานได้ ซึ่งเนื้อที่ได้จากโคที่ใช้แรงงานเหล่านี้ จะเป็นเนื้อคุณภาพต่ำ เนื้อจะเหนียว มีไขมันแทรกในเส้นใยกล้ามเนื้อน้อย ไขมันหุ้มซากจะเป็นสีเหลือง เรียกว่า เนื้อวัวมัน ขายไม่ได้ราคาเท่าใดนักและไม่เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ หรือตลาดเนื้อคุณภาพสูงในประเทศ
และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาความรู้เรื่องโคเนื้อ และการขุนโคเพื่อให้ได้เนื้อมีคุณภาพดีมากขึ้น ทำให้เกิดการ
ปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อ มีการขุน เพื่อให้โคโตเร็ว มีไขมันแทรกตามเส้นใยกล้ามเนื้อ จนเนื้อมีความนุ่มและฉ่ำ จนกลาย
เป็นเนื้อคุณภาพดี เนื้อที่มีคุณภาพดีเหล่านี้ จะขายได้ราคาและเป็นที่ต้องการของตลาดเนื้อคุณภาพสูงภายในประเทศ
เช่นตามโรงแรมต่าง ๆ และตลาดเนื้อคุณภาพสูงของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ปัจจุบันได้เกิดธุรกิจการเลี้ยงโคขุนขึ้น
และได้แพร่กระจายอยู่เกือบทุกภาคของประเทศ แต่ก่อนจะทราบถึงวิธีการเลี้ยงโคเนื้อหรือการขุนโค ควรรู้เรื้องพันธุ์โค
เนื้อและลักษณะโคเนื้อที่ดีก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาเรื่องการเลี้ยงและการขุนต่อไป
โคเป็นสัตว์กีบคู่ อยู่ในตระกูล Bovidae มีกระเพาะอาหาร 4 กระเพาะ มีความสามารถพิเศษคือ สามารถสำรอก
อาหารซึ่งกลืนเข้าไปแล้วออกมาเคี้ยวใหม่ได้ เรียกว่า เคี้ยงเอื้อง ดังนั้นจึงเรียกว่าเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง (Ruminant)
โคเนื้อที่ทำการเลี้ยงอยู่ในประเทศไทย สามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม เช่นเดียวกับโคนม คือพวกโคยุโรป(Bos taurus)
และโคอินเดีย(Bos indicus) ลักษณะที่แตกต่างกันของโคทั้ง 2 กลุ่มนี้ที่เห็นได้คือ
โคอินเดียจะมีตะโหนกใหญ่ ส่วนโคยุโรปจะไม่มีตะโหนก โคอินเดียจะเลี้ยงง่าย ทนต่อความร้อน ทนต่อโรคและแมลง
ส่วนโคยุโรปจะไม่ทนต่อความร้อน ไม่ทนต่อโรคและแมลง แต่ถ้าการเลี้ยงและการจัดการดี โคยุโรปจะมีโครงร่างใหญ่
่กว่าโคอินเดีย และมีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่าโคอินเดีย ดังนั้น เมื่อโคทั้ง 2 กลุ่ม มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
จึงมีการผสมพันธุ์โคยุโรปและโคอินเดียเข้าด้วยกัน เพื่อหวังว่าลูกที่เกิดมา จะมีลักษณะที่ดีของทั้ง
2 ตัว อยู่ในตัวเดียวกัน ทำให้เกิดมีโคเนื้อลูกผสมขึ้น ซึ่งปัจจุบัน โคเนื้อลูกผสมเหล่านี้ ได้นำมาทำการขุน และส่งขาย
ให้ต่างประเทศนำรายได้เข้าประเทศได้เป็นจำนวนมาก
โคพันธุ์ขาวลำพูน
    โคเพศผู้พันธุ์ขาวลำพูน
  • โคพันธุ์ขาวลำพูน เป็นโคพันธุ์พื้นเมืองในภาคเหนือของไทย โดยเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว พ่อค้าที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า แถบแม่ฮ่องสอน ได้เคลื่อนย้ายโคมาจากพม่าเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายกับสินค้าอื่น ๆ โดยถ้ามีรูปร่างสวยงามเป็นที่ถูกใจก็จะคัดเอาไว้เลี้ยง และแม่พ่อค้าโคชาวของหรือไทยของซึ่งมีถิ่นฐานในอำเภอลี้ จังหวัดลำพูนได้พบเห็นและชอบใจในโคเหล่านี้จึงได้ซื้อและได้นำมาเลี้ยงผสมพันธุ์ในกลุ่มโคขาวด้วยกันเอง จนได้ลูกหลานโคที่มีผิวและขนขาวเด่นรูปร่างสวยเพรียวขึ้นแตกต่างไปจากเดิมเป็นโคที่มีลักษณะสวยเพรียว สันทัด สีขาวปลอด ขนตาออกสีขาวชมพู ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เขาสีขาว จมูกสีขาวขนหางสีขาว กีบสีขาว เหนียงไม่หย่อนยานมาก มีนิสัยเชื่อง ไม่ดุ ฝึกสอนง่ายสามารถใช้ไถนาเทียมเกวียนได้อย่างดีได้รับความนิยมสูงในเกษตรกรภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เป็นพันธุ์โคเอกลักษณะของจังหวัดลำพูน ซึ่งสมควรจะได้รับการอนุรักษ์ไว้ต่อไป (จุลสารผสมเทียม "40 ปี งานผสมเทียมในประเทศไทย")

โคพันธุ์ชาโรเลส์(Charolais)
โคเพศผู้พันธุ์ชาโรเลส์
  • โคพันธุ์ชาโรเลส์(Charolais) เป็นโคสายพันธุ์ยุโรป (Bos taurus) ได้รับการเรียกชื่อตามแหล่งกำเนิด  คือเมืองชาโรเลส์(Charolles) ในแคว้นเบอร์กันดี (Burgandy)ทางตอนกลางของประเทศฝรั่งเศส ในระหว่างปี ค.ศ.1850-1880 มีการนำโคพันธุ์ชอร์ทฮอร์น (Shorthorn) มาผสมข้ามพันธุ์เพื่อปรับปรุงให้มีลักษณะของโคเนื้อที่ดียิ่งขึ้น ได้มีการยอมรับเป็นพันธุ์โคอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1864 และสามารถจัดเป็นพันธุ์แทและจดทะเบียนลักษณะสายพันธุ์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887 โคพันธุ์ชาโรเลส์เป็นพันธุ์หลักของประเทศฝรั่งเศสที่ใช้ผลิตเป็นพ่อแม่พันธุ์หรือเป็นโคขุนส่งออกไปขายยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โคพันธุ์ชาโรเลส์ได้มีการนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2515โคพันธุ์ชาโรเลส์เป็นโคที่มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดพันธุกรรมที่ดีมากที่สุดพันธุ์หนึ่ง เป็นที่ยอมรับกันมากในแหล่งเลี้ยงโคเนื้อทั่วโลกว่า สามารถให้ลูกผสมที่มีคุณลักษณะทางเศรษฐกิจดีเด่นหลายประการ เช่น อัตราการเจริญเติบโตเร็วมีโครงร่างที่ใหญ่ มีประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร (Feed conversion)สูง และสร้างเนื้อคุณภาพดีได้มาก ฯลฯ
  •  ค่าเฉลี่ยต่าง ๆ เกี่ยวกับลักษณะการเจริญเติบโตและการสร้างเนื้อของโคพันธุ์ชาโรเลส์ ซึ่งศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส พอสรุปได้ดังนี้
โครุ่นหนุ่มสาวพันธุ์ชาโรเลส์
น้ำหนักแรกเกิด                                           39-44        กิโลกรัม
น้ำหนักหย่านม(205วัน)                                 212-224    กิโลกรัม
โคเพศผู้อายุ 1 ปี มีน้ำหนัก                             506-550    กิโลกรั 
น้ำหนักซาก                                                300           กิโลกรัม
โคเพศผู้อายุ 2 ปี มีน้ำหนัก                             650           กิโลกรัม
การเลี้ยงแบบปล่อยทุ่ง
น้ำหนักซาก                                                400          กิโลกรัม
อัตราการเจริญเติบโตต่อวัน                            1.31-1.43  กิโลกรัม
โคเพศเมียอายุ 2 ปี (วัยเจริญพันธุ์)หนัก             600          กิโลกรัม



  • ดังข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า โคพันธุ์ชาโรเลส์เป็นโคที่เจริญเติบโตได้เร็ว แม่โคเลี้ยงลูกเก่ง คุณภาพซากดี แต่เปอร์เซ็นต์ความชุ่มฉ่ำของเนื้อไม่ค่อยดี มีอายุถึงวันเจริญพันธุ์เป็นสัดช้า และมักมีปัญหาคลอดลูกยาก ระบบสืบพันธุ์ไม่ค่อยดี จากที่ได้กล่าวแล้วว่า โคพันธุ์ชาโรเลส์เป็นโคในถิ่นทางยุโรป ซึ่งสภาพภูมิอากาศเป็นแบบหนาวเย็น ดังนั้น เมื่อนำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น อัตราการเจริญเติบโตจะไม่เท่ากับที่แสดงข้างต้น เนื่องจากเมื่อนำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทยโคพันธุ์นี้จะหอบ กินอาหารลดลงหรือไม่กินอาหาร สภาพร่างกายจะค่อย ๆทรุดโทรมลง พร้อมทั้งโคพันธุ์นี้ไม่ทนต่อแมลงต่าง ๆ ดังนั้น จึงไม่เหมาะสมที่จะนำพันธุ์แท้มาเลี้ยงในประเทศไทย  ในผลิตโคขุนจำหน่าย มักใช้พ่อโคพันธุ์ชาโรเลส์นี้ ผสมกับแม่พันธุ์พื้นเมืองหรือบราห์มัน ลูกที่เกิดมาจะมีอัตราการเจริญเติบโตต่อวันดี ซึ่งน้ำเชื้อโคพันธุ์ชาโรเลส์นี้ ทางราชการมีให้บริการผสมเทียมอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์

โคเพศเมียและลูกโคพันธุ์ชาโรเลส์
โคเพศผู้พันธุ์ชาโรเลส์

: ลักษณะประจำพันธุ์ :
      -สีขาว ขาวเทา จนถึงสีครีมหรือสีฟางตลอดลำตัว
      -โครงร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ช่วงลำตัวยาวและแน่นทึบ กล้ามเนื้อส่วนสันหลัง ช่วงต้นขาและไหล่เจริญดีมาก
      -ศีรษะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับส่วนคอที่หนาและมีกล้ามเนื้อมาก
      -โคเพศผู้โตเต็มที่มีส่วนสูงเฉลี่ย 150-155 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1,100-1,200 กิโลกรัม
      -โคเพศเมียโตเต็มที่มีส่วนสูงเฉลี่ย 140-143 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 700-750 กิโลกรัม


การเลี้ยงโคนมจังหวัดพัทลุง
          ปัจจุบันการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรจังหวัดพัทลุง   จากการสรุปข้อมูลพบว่ายังคงมีเกษตรกรเลี้ยงโคนม 110  ราย มีโคนมทั้งหมด  2,773  ตัว แบ่งเป็นแม่โครีดนมจำนวน  1,746  ตัว  โคสาว 373  ตัว โครุ่น – ลูกโค  654  ตัว สามารถผลิตน้ำนมดิบเฉลี่ยประมาณ  12 ตันต่อวัน  เกษตรกรทุกรายรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์โคนมพัทลุง  จำกัด  และมีกลุ่มย่อย 6  กลุ่ม คือ กลุ่มป่าพะยอม , ลำปำ , ท่ามิหรำ , ท่าแค , เขาชัยสน และกลุ่มบางแก้ว  โดยสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด ดำเนินการทำธุริการรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกร เกษตรกรสามารถจำหน่ายได้กิโลกรัมละ  18.5 บาท  และนอกจากนี้ยังรับซื้อน้ำนมดิบจากสหกรณ์โคนมฯอื่น ๆ เช่นสหกรณ์โคนมบางสะพานน้อย สหกรณ์โคนมเนินดินแดง  จ.ประจวบคีรีขันธ์ เดือนละประมาณ 700 – 750  ตันอีกด้วย   เพื่อนำมาแปรรูปผลิตเป็นนมพร้อมดื่ม ไอศกรีม กาแฟนมสด นมเปรี้ยว  เพื่อจำหน่ายในโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน  และตลาดพาณิชย์ทั่วไปในพื้นที่จังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียงในภาคใต้  โดยสหกรณ์ฯ มีโรงแปรรูปนม พาสเจอร์ไรส์  และ  UHT  1  แห่ง  มีความสามารถในการผลิตได้ รวม 32 ตันต่อวัน นอกจากการรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกรแล้ว  สหกรณ์โคนมพัทลุงยังมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์  และ ร้านค้าจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์และปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้องเพื่อจำหน่ายให้แก่สมาชิกอีกด้วย

การวิเคราะห์  จุดแข็ง  จุดอ่อน  โอกาส  และภัยคุกคาม
          จากการวิเคราะห์สถานการณ์การเลี้ยงโคนมในพื้นที่เขต 9  หรือภาคใต้ตอนล่าง โดยวิเคราะห์จุดแข็ง  จุดอ่อน โอกาส  และภัยคุกคาม 
1.       จุดแข็ง (Strengths)
1)      เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ตลอดทั้งปีทุกฤดูกาล  และมีเสถียรภาพด้านราคา  มีผลตอบแทนสูง  เมื่อเทียบกับอาชีพทางการเกษตรอื่นๆ
2)      เกษตรกรมีพันธ์โคนมที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่  และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ด้วยตนเองภายในฟาร์ม
3)      มีการรวมตัวกันเป็นองค์กรเกษตรกรที่เข้มแข็ง  และมีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมและมีการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร
4)      ด้านการตลาดผู้บริโภคมีแนวโน้มการบริโภคนมมากขึ้น
5)      แหล่งผลิตโคนมในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างมีน้อย  ผลผลิตที่ได้จึงเป็นที่ต้องการของตลาดสูง  ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่ภาคใต้
6)      ภาครัฐให้การสนับสนุน  ทั้งทางด้านนโยบาย การตลาด การบริการต่าง เช่น เทคโนโลยีที่เหมาะสม  บริการน้ำเชื้อโคพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตสูง  และบริการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
2.       จุดอ่อน (Weaknesses)
1)      การผลิตของเกษตรกรขาดการจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพทำให้ต้นทุนการผลิตสูง  และผลผลิตที่ได้มีคุณภาพต่ำ
2)      พื้นที่จัดทำแปลงพืชอาหารสัตว์ลดลง  เกษตรกรนำพื้นที่ไปปลูกพืชพืชเศรษฐกิจที่มีราคาดี  เช่น ยางพารา ข้าว ปาล์มน้ำมัน
3)      มีการผันผวนด้านราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์  เนื่องจากไกลจากแหล่งผลิตวัตถุดิบและมีต้นทุนค่าขนส่ง
4)      เกษตรกรส่วนใหญ่  เป็นเกษตรกรรายย่อย ขาดเงินทุนในการพัฒนาฟาร์ม
5)      การจัดการฟาร์มของเกษตรกรยังไม่เข้าสู่ระบบมาตรฐาน  ทำให้มีปัญหาด้านการเลี้ยงและการจัดการด้านสุขภาพ และระบบสืบพันธุ์  ต้นทุนในการดูแลรักษาสุขภาพโคนมสูง
6)      ระบบข้อมูลโคนมยังไม่เป็นระบบเดียวกัน  และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต  และการจัดการด้านอื่นๆ ได้น้อย
7)      เกษตรกรรุ่นใหม่ หรือเกษตรกรผู้สืบทอดอาชีพการเลี้ยงโคนมมีจำนวนน้อย  ขาดแคลนแรงงานในอาชีพการเลี้ยงโคนม
3.       โอกาส (Opportunities)
1)      ความต้องการผลิตภัณฑ์นมแปรรูปที่สูง และมีการแข่งขันน้อย  ผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคในพื้นที่ภาคใต้
2)      นโยบายภาครัฐให้การสนับสนุน เช่น  โครงการอาหารเสริมนม(โรงเรียน)
3)      นมเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ  ผู้บริโภคสามารถบริโภคได้ทุกศาสนา ทุกอาชีพ
4)      ปัจจัยและวัตถุดิบในพื้นที่ภาคใต้มีความหลากหลาย  และสามารถนำไปเป็นอาหารโคนมได้ ตลอดทั้งปี
4.       ภัยคุกคาม (Threats)
1)      ผลิตภัณฑ์นมมีการแข่งขันจากเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ  และนมแปรรูปจากนอกพื้นที่เข้ามาจำหน่าย
2)      ขาดการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีการผลิตไปใช้ในระดับฟาร์มของเกษตรกร
3)      การเปิดเสรีทางการค้ากับประเทศที่มีศักยภาพการเลี้ยงโคนม
4)      การขนส่งนมไปจำหน่ายในบางพื้นที่ไม่ปลอดภัย ส่งผลกระทบต่อการขยายตลาดนม

* * * * * * *

อุตสาหกรรมโคเนื้อในประเทศไทย


                 อุตสาหกรรมโคเนื้อของไทยแม้ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่ถือได้ว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน และรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมาก็ได้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด  เดิมการเลี้ยงโคของไทย เป็นการเลี้ยงเพื่อใช้งานในการทำการเกษตรเป็นหลัก เมื่อใช้งานจนหมดอายุจึงปลดจำหน่ายเป็นโคเนื้อ ต่อมาเมื่อมีการนำเครื่องจักรกลทางการเกษตร เช่น เครื่องไถดิน พรวนดิน หรือนวด ซึ่งง่ายต่อการดูแลและใช้งานได้ตลอดเวลามาใช้มากขึ้น ทำให้การใช้โคเพื่องานทำการเกษตรลดน้อยลงเป็นลำดับ ปัจจุบันรูปแบบการเลี้ยงโคได้เปลี่ยนมาเป็นการเลี้ยงเพื่อจำหน่ายเป็นโคเนื้อ ทั้งนี้เพราะความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากความต้องการของประชากรในประเทศเองและของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ลักษณะการเลี้ยงจะเป็นการเลี้ยงครั้งละหลายๆ ตัว และมีรูปแบบเป็นฟาร์มมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ และเป็นโครงการหนึ่งในแผนปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร โดยหวังจะให้การเลี้ยงโคเนื้อเป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ และเพื่อทดแทนการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังข้าวนาปีในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม  อาจกล่าวได้ว่าจากปริมาณความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นรวมถึงการส่งเสริมจากรัฐทำให้ในปัจจุบันเกษตรกรหันมาเลี้ยงโคเนื้อเพื่อการค้ากันมากขึ้น

               โคเนื้อที่เลี้ยงในประเทศไทยแต่เดิมเป็นพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งขนาดค่อนข้างเล็ก ขนสั้นเกรียนมีหลายสี มีน้ำหนักน้อยประมาณ 200-350 กิโลกรัม สามารถหากินและเติบโตจากการหาหญ้ากินเองตามธรรมชาติ โตช้าแต่มีความต้านทานโรคเมืองร้อนได้ดี ระยะต่อมา มีการนำโคพันธุ์ดีจากต่างประเทศเข้ามาผสมกับโคพันธุ์พื้นเมือง เพื่อให้ได้โคลูกผสมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ยังคงมีความต้านทานโรคเมืองร้อน ซึ่งพันธุ์ที่นิยมและเหมาะสมที่สุดทั้งด้านใช้แรงงานและให้เนื้อ คือพันธุ์บราห์มัน ปัจจุบันนิยมเลี้ยงพันธุ์ออสเตรเลียบราห์มัน และอเมริกันบราห์มัน ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ทางรัฐให้การส่งเสริม นอกจากนี้ยังมีการนำพันธุ์โคอื่นๆเข้ามาผสมกับโคพื้นเมืองเพิ่มขึ้น ซึ่งมีคุณสมบัติให้เนื้อโดยตรงและสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมของไทยได้ดี คือ พันธุ์ชาร์โรเล่ส์ ลิมูซีน และเฮียฟอร์ด เป็นต้น





                 จากสถิติพบว่าการเลี้ยงโคเนื้อในประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงในช่วงปี 1993  1998 คือในปี 1993 มีโคเนื้อ จำนวน  7.24ล้านตัว ลดลงเป็น 4.57 ล้านตัว ในปี 1998 หรือมีอัตราการลดลงเฉลี่ยร้อยละ 8.42 สาเหตุการลดลงอย่างมากของการเลี้ยงโคเนื้อในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจเนื่องมาจาก เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตในอัตราที่สูงแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม  ซึ่งในขณะนั้นภาคการเกษตรถูกมองว่าให้ผลตอนแทนน้อย ทำให้แรงงานเปลี่ยนจากการทำงานในภาคการเกษตรเข้ามาสู่การทำงานภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น อีกทั้งการบริโภคโคเนื้อในประเทศไม่เป็นที่นิยม  และเป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นสูง หาสินค้าอื่นทดแทนได้ ทำให้ราคาของโคเนื้อไม่สามารถปรับตัวให้ขึ้นสูงได้ ผลตอบแทนที่เกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อได้รับจึงต่ำ และจากที่จำนวนโคเนื้อที่เลี้ยงลดลงทำให้ปริมาณการผลิตโคเนื้อในช่วงปี 1993-1998 ลดลงด้วย คือในปี 1993 มีปริมาณการผลิตโคเนื้อ 1.37 ล้านตัว ลดลงเป็น 0.94 ล้านตัวในปี 1998 หรือมีอัตราการลดลงเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี

        ภาวะอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมในปี 2548 ปี 2549 และแนวโน้ม
                   การเลี้ยงโคนมในประเทศไทยมีการพัฒนา เจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้แก่เกษตรกรประมาณ 23,000 ครัว หรือมากกว่า 130,000 คน และผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากมายตลอดทั้งปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท เพราะมีการผลิตและการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากโคนมทุกวัน ซึ่งแตกต่างจากอาชีพเกษตรกรรมด้านอื่น ๆ เช่น การทำนา ทำสวน และทำไร่  ที่มีรายได้เป็นช่วง ๆ ตามฤดูกาลเพาะปลูก ไม่ตลอดทั้งปี
                                2.1 ด้านการผลิต
                                2.1.1 การผลิต
          ในปี 2548 ประมาณว่าประเทศไทยมีจำนวนโคนม 536,720  ตัว  เพิ่มขึ้นจาก 492,856 ตัว ในปี 2547 ร้อยละ 8.88 โดยจำแนกเป็นแม่โค  321,970  ตัว โครุ่น 113,324 ตัว และ
โคเล็ก 
101,326 ตัว  ได้ผลผลิตน้ำนมดิบประมาณ  916,146 ตันต่อปี หรือ 2,510 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 842,610 ตัน ของปี 2547 ร้อยละ 8.83 อัตราการให้น้ำนมของแม่โคนมเฉลี่ยตัวละ 11.50กิโลกรัมต่อวัน สูงกว่าอัตราการให้น้ำนมของแม่โคนมเฉลี่ยในปี 2547 ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยตัวละ 11.38 กิโลกรัมต่อวัน ร้อยละ 1.05 โดยผลผลิตน้ำนมดิบประมาณ ร้อยละ 75 ได้จากสหกรณ์โคนมที่ทำธุรกิจรวบรวมน้ำนมดิบทั่วประเทศ  รวม 104 สหกรณ์ ใน  43  จังหวัด และร้อยละ 25 ได้จากศูนย์รวมนมเอกชน 63 แห่ง มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรวมประมาณ  23,439  ครอบครัว 
              ผลผลิตน้ำนมดิบส่วนใหญ่ถูกนำส่งเข้าโรงงานไปแปรรูปเป็นนมพร้อมดื่ม จำนวน   879,500   ตัน คิดเป็นร้อยละ 96 ของปริมาณน้ำนมดิบที่ผลิตได้ทั้งหมด สูงกว่าปริมาณส่งเข้าโรงงานในปี 2547 ซึ่งมีจำนวน 808,905 ตัน ร้อยละ 8.73
            สำหรับต้นทุนการผลิตน้ำนมดิบในปี 2548 ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับค่าอาหารข้นที่ใช้เลี้ยงแม่โคนม โดยประมาณต้นทุนการผลิตน้ำนมดิบเฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.60 บาท เพิ่มขึ้นจาก 8.15 ของปี 2547 ร้อยละ 1.06 สูงกว่าต้นทุนการผลิตของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งมีต้นทุนประมาณ 6 – 8 บาทในขณะที่ราคาที่เกษตรกรขายได้ ณ ศูนย์รับน้ำนมดิบโดยประมาณเฉลี่ยกิโลกรัมละ11.50 บาทเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 11.38 บาท ของปี 2547 ร้อยละ 1.05 ซึ่งราคาน้ำนมดิบที่เกษตรกรแต่ละรายได้รับนั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ความสะอาด ปริมาณเนื้อนมรวม ปริมาณไขมัน และเชื้อจุลินทรีย์ เป็นต้น
                ส่วนในปี 2549 และปี 2550 มีแนวโน้มว่าจำนวนโคนมและปริมาณน้ำนมดิบจะลดลง หรือถ้าเพิ่มก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนเลิกเลี้ยงและแม่โคนมถูกขายเข้าโรงฆ่า เพราะเกษตรกรไม่สามารถรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ และคาดว่าต้นทุนการผลิตน้ำนมดิบมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาปัจจัยการผลิตสูงขึ้นแทบทุกชนิด 


สถานการณ์การตลาดนมในประเทศ
          อุตสาหกรรมนมในประเทศไทยจัดเป็นอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ซึ่งได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังจากภาครัฐมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (.. 2520-2524) และต่อเนื่องมาจนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับปัจจุบัน (ฉบับที่ 11 .. 2555-2559) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดีจากการบริโภคนม รวมทั้งส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนในประเทศ ผลิตภัณฑ์หลักของอุตสาหกรรมนมไทยที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม

          โครงสร้างอุตสาหกรรมนมนั้นจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่หลายกลุ่ม โดยเริ่มจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมดำเนินการเลี้ยงโคนมทั้งรายย่อยและรายใหญ่เพื่อผลิตน้ำนมส่งให้กับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินกิจการในรูปแบบของสหกรณ์ นอกจากนี้ยังมีศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบของเอกชนด้วยเช่นกัน โดยที่เกษตรกรอาจจะขายนมผ่านพ่อค้าคนกลางหรือส่งนมให้กับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบโดยตรง ศูนย์รวบรวมนมจะทำการตรวจคุณภาพน้ำนมดิบและประเมินราคาก่อน จากนั้นจะส่งน้ำนมให้กับโรงงานแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์นมประเภทต่างๆ โดยที่จะมีตัวแทนหรือพ่อค้าส่งมารับไปจำหน่ายหรือส่งต่อให้กับพ่อค้าปลีกเพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภคต่อไป
ตลาดน้ำนมดิบในประเทศ
         การบริโภค
               น้ำนมดิบที่ผลิตได้ในประเทศใช้เพื่อการผลิตนมโรงเรียนเป็นหลัก ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการบริหารจัดการน้ำนมดิบของรัฐบาล กำหนดให้โครงการนมโรงเรียนต้องผลิตจากน้ำนมดิบในประเทศเท่านั้น ห้ามใช้นมผงนำเข้าจากต่างประเทศมาผลิตหรือผสม เนื่องจากรัฐบาลต้องการช่วยเหลือส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนมของไทยควบคู่กับการส่งเสริมสุขภาพเด็กในโรงเรียน และผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาคือ จำนวนผู้ประกอบการเข้าร่วมเพิ่มขึ้นจากเดิม 10 กว่าราย เป็น 70 กว่าราย นอกจากนี้โครงการนมโรงเรียนมีการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อาทิ กำหนดให้มีการทำบันทึกข้อตกลงการบริหารจัดการน้ำนมดิบระหว่างผู้ประกอบการนมพร้อมดื่มและศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ กำหนดให้การจำหน่ายแข่งขันโดยเสรี (ยกเลิก zoning) และขยายโครงการนมโรงเรียน โดยเพิ่มจำนวนนักเรียนจากอนุบาลถึง ป.4 เป็นถึง ป.6 และจาก 230 วัน เป็น 260 วัน เป็นต้น มาตรการต่างๆเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ความต้องการน้ำนมดิบในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นได้จากงบประมาณสำหรับโครงการนมโรงเรียน โดยปี 2550 มีจำนวนนักเรียนในโครงการประมาณ 6 ล้านคน ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล 6,750 ล้านบาท ในปี 2552 งบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 13,595 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมนักเรียนจำนวน 8.4 ล้านคน ระยะเวลา 260 วัน สำหรับปี 2555 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 14,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อนมให้กับเด็กนักเรียน ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 คาดว่าจะมีเด็กได้บริโภคนมทั้งสิ้น 8.6 ล้านคน ในราคานมพาสเจอไรส์ถุงละ 6.37 บาท และนมยูเอชทีกล่องละ 7.61 บาท
         การค้า
               ช่องทางการจำหน่ายน้ำนมดิบในประเทศประกอบด้วย 3 ช่องทางหลัก คือ (1) จำหน่ายผ่านศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบซึ่งจะนำนมส่งต่อไปยังโรงงานแปรรูปนมอีกต่อหนึ่ง (2) จำหน่ายแก่โรงงานแปรรูปนมโดยตรง (3) จำหน่ายให้กับผู้บริโภครายย่อยทั่วไป ทั้งนี้เกษตรกรส่วนใหญ่จำหน่ายน้ำนมดิบผ่านศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสหกรณ์โคนมต่างๆ และยังเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ ดังจะเห็นได้จากแนวทางการบริหารจัดการนมโรงเรียนเพื่อแก้ปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด ด้วยการจัดให้มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบทั่วประเทศ และกำหนดให้มีการทำบันทึกข้อตกลงการบริหารจัดการน้ำนมดิบหรือ MOU ระหว่างผู้ประกอบการนมพร้อมดื่มและศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ
ราคา
               ก่อนปี 2540 ราคาน้ำนมดิบของประเทศไทยไม่มีการกำหนดราคากลาง แต่ขึ้นอยู่กับการตกลงซื้อขายระหว่างสหกรณ์โคนมต่างๆ กับผู้ประกอบการ ซึ่งแต่ละสหกรณ์จะมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาขายและวิธีการรับซื้อที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการสหกรณ์โคนมนั้นๆ นับตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา ได้มีการกำหนดราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบขึ้นมาใช้ ซึ่งเป็นการพิจารณาร่วมกันระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและชุมชุนสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย โดยมีภาครัฐเป็นสักขีพยาน และได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ราคาน้ำนมดิบที่ผู้ประกอบการต้องซื้อจากสหกรณ์หรือศูนย์รวมนมต่างๆ ในราคาเดียวกันคือ จากเดิมที่ซื้อขายกันในราคา 10 บาทต่อกิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 12.50 บาท ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก โครงการนมโรงเรียน ทำให้มีผู้ประกอบการทั้งเอกชนและสถาบันการศึกษาหันมาผลิตนมโรงเรียนกันมากขึ้น ประกอบกับราคานมผงจากต่างประเทศที่นำเข้ามาเพื่อผลิตนมพร้อมดื่มมีราคาสูงขึ้น
               การปรับราคาเมื่อปี 2541 ที่เพิ่มขึ้นถึง 2.50 บาทต่อกิโลกรัม ถือได้ว่าเป็นการปรับราคาแบบก้าวกระโดด และขณะเดียวกันราคาดังกล่าวยังถูกตรึงไว้นานเกือบ 10 ปี จนกระทั่งปี 2550 จนถึงปัจจุบัน มีการปรับราคารับซื้อน้ำนมดิบหลายครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคานมผงนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น ความต้องการน้ำนมดิบในประเทศจึงสูงขึ้น แต่ในระยะหลังการปรับราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนด้านอาหารเสริมที่ใช้เลี้ยงโคนม และต้นทุนพลังงานที่ใช้ในการขนส่งผลิตภัณฑ์
      การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำนมดิบ

ราคาน้ำนมดิบ (บาท/กก.)
เปลี่ยนแปลง (บาท/กก.)
พ.ศ. 2541
12.50

24 เมษายน 2550
13.75
1.25
22 ตุลาคม 2550
14.50
0.75
29 กรกฎาคม 2551
18.00
3.50
28 มกราคม 2552
16.50
-1.50
7 กันยายน 2553
17.00
0.50
27 มีนาคม 2554
18.00
1.00
ที่มา: ชมรมนมสร้างชาติ, 2553
               ในปัจจุบันโรงงานแปรรูปนมในประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบราคาประกันขั้นต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่มีระบบราคากลางในการรับซื้อ และมีระบบการให้ราคาตามคุณภาพนมควบคู่กันไปด้วย ซึ่งหมายถึง ถ้าคุณภาพนมต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานปกติ ราคารับซื้อจะต่ำกว่าราคาประกันขั้นต่ำ แต่ถ้าคุณภาพนมเกรดดีขึ้นกว่าเกรดปานกลาง ก็จะมีราคาบวกพิเศษเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาประกันขั้นต่ำ โดยราคาคุณภาพเกรดดีที่เพิ่มขึ้น เน้นไปที่ค่าคุณภาพด้านจุลินทรีย์ และเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่ำลง และค่าคุณภาพองค์ประกอบน้ำนมดิบที่ดีขึ้นมากกว่าค่ามาตรฐานปกติ อย่างไรก็ตามราคาที่เกษตรกรขายได้ส่วนใหญ่ต่ำกว่าราคาประกัน เนื่องจากคุณภาพของน้ำนมดิบไม่ได้มาตรฐาน ดังจะเห็นได้จากราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบปี 2554 กิโลกรัมละ 17-18 บาท ขณะที่ราคาที่เกษตรกรขายได้ในปี 2554 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.50 บาท  
          ราคาน้ำนมดิบหน้าโรงงาน และราคาที่เกษตรกรขายได้ ปี 2550-2554
ปี
ราคาหน้าโรงงาน (บาท/กก.)
ราคาที่เกษตรกรขายได้ (บาท/กก.)
2550
12.50/13.75/14.50
12.83
2551
14.50/18.00
15.44
2552
18.00/16.50
15.54
2553
16.50/17.00
15.43
2554
17.00/18.00
16.50
          ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศ
ตลาดนมพร้อมดื่มสามารถแยกออกได้เป็น 2 ตลาด คือ ตลาดนมโรงเรียน และตลาดนมพาณิชย์ โดยมีสัดส่วนประมาณ 40: 60 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด นมโรงเรียน เป็นโครงการของภาครัฐที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2535 โดยการจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดซื้อนมพร้อมดื่มให้แก่เด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล-ป.6 ขนาด 200 มิลลิลิตร จำนวน 260 วัน โดยนมพร้อมดื่มสำหรับโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนจะต้องเป็นนมที่ผลิตจากน้ำนมดิบและเป็นรสจืดเท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาการเติบโตของตลาดนมโรงเรียนนับตั้งแต่เริ่มโครงการ พบว่า ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของภาครัฐ ที่มีการเพิ่มงบประมาณในโครงการนมโรงเรียนอย่างมากโดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนงบประมาณสำหรับโครงการนมโรงเรียนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว กล่าวคือ ปี 2550 โครงการนมโรงเรียนได้รับการจัดสรรงบประมาณ         6,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 14,000 ล้านบาทในปี 2554 ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า นมโรงเรียน เป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรไทย
ปี 2554 ตลาดนมพาณิชย์มีมูลค่าประมาณ 40,600 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 6 และยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น จึงเลือกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งนมสามารถเป็นได้ทั้งเครื่องดื่มและอาหารเสริมที่ผู้บริโภคมักนึกถึงในอันดับต้นๆ ประกอบกับผู้ผลิตได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายตรงกับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ นับตั้งแต่ รสชาด ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจและมีความทันสมัย รวมถึงการกระจายสินค้าอย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและสนับสนุนให้ตลาดเติบโต
        การบริโภค
               ระหว่างปี 2550-2554 การบริโภคนมพร้อมดื่มมีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.07 ต่อปี โดยปี 2554 ปริมาณการบริโภคอยู่ที่ 938,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 0.4 คาดว่าในปี 2555 ปริมาณการบริโภคค่อนข้างคงที่ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2554 เพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น เนื่องจากตลาดนมโรงเรียน ซึ่งเป็นตลาดหลักมีปริมาณค่อนข้างคงที่ และการบริโภคนมในตลาดพาณิชย์ยังคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศเมื่อปลายปี 2554 ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากต้องมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟูที่อยู่อาศัย ทำให้การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นลดลง รวมทั้งมีคู่แข่งที่เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหลากหลายชนิดเพิ่มมากขึ้นด้วย

ปริมาณการบริโภคนมพร้อมดื่มของไทย ปี 2550-2555

2550
2551
2552
2553
2554*
2555**
การบริโภคนมพร้อมดื่ม (ตัน)
917,360
825,624
912,500
934,674
938,000
940,000
อัตราการเปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
7.1
-10.0
10.5
2.4
0.4
0.2
หมายเหตุ : * ประมาณการ   ** คาดคะเน
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2555)

อัตราการบริโภคนมเฉลี่ยของคนไทยค่อนข้างต่ำ คือ 14.19 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้น หรืออาจกล่าวได้ว่าคนไทยดื่มนมเพียงสัปดาห์ละ 1 แก้วเท่านั้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่ดื่มนมเป็นประจำคือเด็กในวัยเรียนเท่านั้น และไม่ถือว่านมเป็นเครื่องดื่มหลักของทุกคนในครอบครัว ทั้งๆที่นมเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการบริโภคนมของโลกสูงถึง 104.7 ลิตรต่อคนต่อปี หรือแม้แต่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อัตราการบริโภคนมโดยเฉลี่ยยังสูงถึง 60 ลิตรต่อคนต่อปี

การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำนมดิบ และนมโรงเรียนระหว่างปี 2550-2554

น้ำนมดิบ (บาท/กก.)
เปลี่ยน
แปลง (บาท)
นมพาสเจอร์ไรส์
(บาท/ถุง)
เปลี่ยน
แปลง(บาท)
นมยูเอชที
(บาท/กล่อง)
เปลี่ยน
แปลง (บาท)
24 เม.ย. 50
13.75
1.25
4.69
0.19
5.94
0.29
22 ต.ค. 50
14.50
0.75
5.14
0.45
6.52
0.58
29 ก.ค. 51
18.00
3.50
6.57
1.43
7.86
1.34
28 ม.ค. 52    
16.50
-1.50
6.26
-0.31
7.55
-0.31
7 ก.ย. 53
17.00
0.50
6.06
-0.20
7.30
-0.25
27 มี.ค. 54
18.00
1.00
6.37
0.31
7.61
0.31
ที่มา: ชมรมนมสร้างชาติ (2554)
               สำหรับราคานมพร้อมดื่มในตลาดนมพาณิชย์ ก็มีทิศทางการปรับตัวเช่นเดียวกันกับราคาน้ำนมดิบ กล่าวคือปี 2551 ที่ราคาน้ำนมดิบในประเทศปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 3.5 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเฉลี่ยนมพร้อมดื่มปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดเช่นกัน โดยปี 2551 ราคาเฉลี่ยนมสดพร้อมดื่มและนมเปรี้ยวปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 6.8 และ 24.8 ตามลำดับ สาเหตุที่ราคาขายปลีกนมเปรี้ยวปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่านมสดมาก คือ นมเปรี้ยวไม่ใช่สินค้าควบคุมเหมือนสด อีกทั้งวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตนมเปรี้ยวคือ นมผงขาดมันเนย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวราคาปรับตัวขึ้นสูงมาก โดยปี 2550 ราคานมผงขาดมันเนยในตลาดโลกเฉลี่ยขั้นต่ำ 4,102 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปี 2551 ลดลงเหลือ 3,075 และในปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 3,000-3,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน
               การอนุมัติให้ปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบของคณะรัฐมนตรี ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 ทำให้ราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบอยู่ที่ 18 บาทต่อกิโลกรัม และยังได้ยังได้อนุมัติปรับขึ้นราคากลางนมโรงเรียน โดยนมพาสเจอร์ไรส์ จากราคากลางเดิม 6.26 บาทต่อถุง เป็น 6.37บาทต่อถุง นมยูเอชที ชนิดกล่อง จากเดิม 7.55 บาทต่อกล่อง เป็น 7.61 บาทต่อกล่อง นมยูเอชที ชนิดซอง จากเดิม 7.45บาทต่อซอง เป็น 7.51 บาทต่อซอง ในส่วนของตลาดนมพาณิชย์ก็ได้รับการอนุมัติให้ปรับราคาจำหน่ายด้วยเช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์อนุมัติให้นมสดพลาสเจอร์ไรส์ ยูเอชที และสเตอริไลส์ ปรับขึ้นราคาได้อีกขวดละ 25 สตางค์ถึง 1.75 บาทแล้วแต่ขนาด ตามต้นทุนน้ำนมดิบที่ปรับสูงขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 1.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคานมที่ปรับขึ้นมีดังนี้

-   นมสดขนาด 110-200 ซีซี ปรับเพิ่มขึ้นขวดละ 25 สตางค์
นมสดขนาด 225-350 ซีซี ปรับเพิ่มขึ้นอีก 50 สตางค์
นมสดขนาด 400-450 ซีซี ปรับเพิ่มขึ้น 75 สตางค์
นมสดขนาด 800-830 ซีซี ปรับเพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท
นมสดขนาด 946-1,000 ซีซี ปรับเพิ่มขึ้น 1.50-1.75 บาท
        การค้าระหว่างประเทศ
               อุตสาหกรรมนมพร้อมดื่มผลิตเพื่อสนองความต้องการในประเทศเป็นหลัก มีการส่งออกบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการส่งออกในลักษณะ re-export หรือหารนำเข้าผลิตภัณฑ์นมและมีการส่งออกอีกต่อหนึ่ง ขณะที่ผลิตภัณฑ์นมบางชนิดต้องพึ่งพาการนำเข้านมผงขาดมันเนยจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งได้แก่ นมเปรี้ยว นมข้นหวาน และผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ซึ่งในแต่ละปีประเทศไทยมีการนำเข้านมผงขาดมันเนยในปริมาณมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงส่งผลให้อุตสาหกรรมนมของไทยอยู่ในภาวะขาดดุลการค้า โดยในปี 2554 อุตสาหกรรมนมไทยมีการนำเข้าทั้งสิ้น 18,558.80 ล้านบาท มูลค่าการส่งออก 6,397.72 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 12,161 ล้านบาท
         ดุลการค้า นมและผลิตภัณฑ์ของไทยปี 2550-2554
หน่วย: ล้านบาท
ปี
มูลค่าส่งออก
มูลค่านำเข้า
ดุลการค้า
2550
4,505.7
16,158.9
-11,653.2
2551
4,501.1
17,930.3
-13,429.2
2552
4,357.7
9,662.2
-5,304.5
2553
4,416.6
15,389.7
-10,973.1
2554
5,328.3
18,418.7
-13,090.4
           ที่มา: ฝ่ายบริการข้อมูลและสารสนเทศ สถาบันอาหาร ด้วยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
              
               การส่งออก ผลิตภัณฑ์นมของไทยที่ส่งออกส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์นมและครีมที่ทำให้เข้มข้นมักอยู่ในรูปของนมผงผง รองลงมาได้แก่ โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว หางนม และนมและครีมที่ไม่ได้ทำให้เข้มข้น และเป็นการส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา พม่า สิงคโปร์ ลาว และฟิลิปปินส์ โดยในระหว่างปี 2550-2554 มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 4,506 ล้านบาท เป็น 5,328 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.3 ต่อปี

 มูลค่าส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย ปี 2550-2554

2550
2551
2552
2553
2554
นมและครีมที่ไม่ทำให้เข้มข้น
982.8
1,297.3
1,099.6
837.0
869.2
นมและครีมที่ทำให้เข้มข้น
2,208.9
1,918.7
1,659.5
1,658.6
2,063.0
โยเกิร์ต
852.8
733.3
834.2
1,126.4
1,427.6
หางนม (เวย์)
428.2
499.7
718.3
754.7
886.8
เนย
16.5
24.5
20.9
22.7
54.5
เนยแข็ง
16.5
27.6
25.2
17.2
27.3
รวม
4,505.7
4,501.1
4,357.7
4,416.6
5,328.3
ที่มา: ฝ่ายบริการข้อมูลและสารสนเทศ สถาบันอาหาร ด้วยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
การนำเข้า   ประเทศไทยนำเข้าผลิตภัณฑ์นมต่างๆ ในแต่ละปีเป็นจำนวนกว่าแสนตัน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท โดยมีนมผงขาดมันเนยเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าที่สำคัญ ซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้าสูงถึงร้อยละ 62 ของปริมาณนำเข้าผลิตภัณฑ์นมทั้งหมด เนื่องจาก นมผงขาดมันเนยสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์นมชนิดต่างๆ อาทิ นมพร้อมดื่ม นมเปรี้ยว นมข้นหวาน ไอศกรีม ขนมปัง ลูกกวาด และช็อคโกแลต เป็นต้น โดยแหล่งนำเข้าที่สำคัญ คือ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ การนำเข้าผลิตภัณฑ์นมระหว่างปี 2550-2554 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ต่อปี โดยมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 16,159 ล้านบาท เป็น 18,419 ล้านบาท

มูลค่านำเข้านมและผลิตภัณฑ์นมของไทย ปี 2550-2554

2550
2551
2552
2553
2554
นมและครีมที่ไม่ทำให้เข้มข้น
17.9
35.4
46.6
76.9
139.9
นมและครีมที่ทำให้เข้มข้น
10,470.4
11,398.4
5,804.4
9,244.5
10,727.4
โยเกิร์ต
1,445.5
1,952.5
1,004.2
1,552.1
1,617.4
หางนม (เวย์)
2,489.5
1,994.4
1,248.3
2,104.6
2,512.4
เนย
1,037.0
1,685.9
712.5
1,333.1
2,130.0
เนยแข็ง
698.6
863.7
846.2
1,078.5
1,291.6
รวม
16,158.9
17,930.3
9,662.2
15,389.7
18,418.7
ที่มา: ฝ่ายบริการข้อมูลและสารสนเทศ สถาบันอาหาร ด้วยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
สาเหตุที่มูลค่าการนำเข้าขยายตัวไม่สูงมากนัก เนื่องจาก นมผงขาดมันเนยเป็นหนึ่งในสินค้าที่ประเทศไทยต้องเปิดตลาดตามข้อผู้พันขององค์การการค้าโลก (WTO) และข้อผูกพันเขตการค้าเสรีไทยออสเตรเลีย (TAFTA) เพื่อเป็นการคุ้มครองเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภายในประเทศ รัฐบาลจึงต้องกำหนดโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย ปัจจุบันไทยกำหนดโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย 57,574 ตัน (ภายใต้ข้อผูกพัน WTO 55,000 ตัน TAFTA 2,574 ตัน) ภายใต้อัตราภาษีร้อยละ 5 อย่างไรก็ตามปริมาณนำเข้าจริงมักสูงกว่าโควตาที่กำหนดไว้ดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากปี 2554 รัฐบาลได้อนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงเพิ่มเติม จำนวน 6,514.66 ตัน อัตราภาษีร้อยละ 5   
****************************************
เอกสารอ้างอิง
ชมรมนมสร้างชาติ (2554) Thai Dairy Fact Book 2011. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.milkforthai.org/develop/index.aspx
ชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย (2554) สรุปข้อมูลการรับซื้อน้ำนมโคของผู้ประกอบการ ตามบันทึกข้อตกลงการบริหารจัดการน้ำนมดิบ. ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.dcoft.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539135192
ชมรมนมสร้างชาติ (2553) Thai Dairy Fact Book 2010. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.milkforthai.org/develop/index.aspx
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2555) สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญและแนวโน้ม ปี 2555.
         [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.oae.go.th/main.php?filename=journal_all     (วันที่สืบค้น   ข้อมูล : 5 เมษายน 2555)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น