วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

คุณภาพน้ำนม


คุณภาพน้ำนม

คุณภาพน้ำนม คืออะไร
คุณภาพน้ำนม คือ มาตรฐานของน้ำนมดิบที่จะบ่งบอกว่าเหมาะสมและปลอดภัยต่อผู้บริโภคหรือไม่ ตัวบ่งชี้คุณภาพน้ำนมดิบแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. เกรดน้ำนม
2. ปริมาณเซลล์โซมาติก
3. องค์ประกอบน้ำนม

เกรดน้ำนม คืออะไร
เกรดน้ำนม หมายถึง ความสะอาดของน้ำนม ซึ่งก็คือปริมาณจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียที่อยู่ในน้ำนมนั่นเอง โดยทั่วไปแล้วการตรวจปริมาณจุลินทรีย์ในน้ำนมมักจะทำการตรวจโดยวิธีอ้อมที่เรียกว่า การตรวจด้วยสีเมททิลีนบลู หรือที่เรียกว่า เอ็ม บี (MB) นั่นเอง

การแบ่งเกรดนมโดยวิธี เมททีลีนบลู หรือ เอ็ม บี สามารถแบ่งได้เป็น 4 เกรด คือ


เกรด               คุณภาพน้ำนมระยะเวลา                  ในการเปลี่ยนสีของ เมททีลีนบลู (ชั่วโมง)
1                                    ดีมาก                                                        8
2                                         ดี                                                        6-8
3                                   พอใช้                                                       2-6
4                                       เลว                                                         2


ปัจจัยที่มีผลต่อเกรดน้ำนมและการแก้ไข

ปัจจัยที่มีผลต่อเกรดน้ำนม


1. ความสะอาดของเครื่องรีดนมและอุปกรณ์รีดนม เช่น ถังใส่นม ผ้าเช็ดเต้า ยางไลเนอร์ ตะแกรงกรองนม

     แนวทางการปรับปรุง
1. ทำการล้างอุปกรณ์ให้สะอาดทุกครั้งหลังจากใช้งานเสร็จทันที เน้นบริเวณที่เป็นซอกมุม
2. ตรวจเช็คสภาพและความสะอาดของเครื่องรีดนมอย่างสม่ำเสมอ
3. จัดโปรแกรมการทำความสะอาดอุปกรณ์
4. ภาชนะหรือถังที่ใช้บรรจุน้ำนมห้ามนำไปใช้อย่างอื่น
5. ภาชนะบรรจุน้ำนม ก่อนนำมาใช้ต้องแห้งและสะอาดเสมอ

2. ความสะอาดของเต้านมโคและตัวโค โดยเต้านมที่สกปรก มีคราบอุจจาระและเปียกจะมีปริมาณเชื้อจุลินทรีย์มาก


     แนวทางการปรับปรุง
1. ล้างหัวนมและเต้านมโคให้สะอาดก่อนทำการรีดนม
2. ต้องรอให้เต้านมโคและตัวโคแห้งก่อนทำการรีดนม
3. ทำการเช็ดเต้านมโคด้วยน้ำผสมคลอรีนและรอให้แห้ง หรือเช็ดให้แห้งก่อนทำการรีดนม
3. ขั้นตอนการปฏิบัติระหว่างการรีดนม เช่น
     - การรีดนมต้นทิ้งก่อนสวมหัวรีด เนื่องจากน้ำนมส่วนนี้มีปริมาณเชื้อจุลินทรีย์สูง 
     - การจัดวางอุปกรณ์หรือภาชนะบรรจุน้ำนมอยู่ใกล้สิ่งสกปรกหรืออุจจาระจะมีผลต่อการเพิ่มปริมาณเชื้อจุลินทรีย์
     - การไม่จุ่มหัวนมหลังรีดนมเสร็จจะเพิ่มโอกาสที่เชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่เต้านมเพิ่มขึ้น

     แนวทางการปรับปรุง
1. ทำการรีดนมต้นทิ้งก่อน 3-4 ครั้งก่อนสวมหัวรีด
2. ตรวจเช็คสุขภาพของเต้านมเป็นประจำก่อนทำการสวมหัวรีดนม
3. จัดวางอุปกรณ์หรือภาชนะบรรจุน้ำนมให้อยู่ไกลจากสิ่งสกปรกหรืออุจจาระ
4. ทำความสะอาดพื้นและอุปกรณ์ทันทีในกรณีที่มีการเปื้อนจากอุจจาระโค และทำความสะอาดมืออีกครั้งก่อนกลับมาทำการรีดนม
5. หลังจากทำการรีดนมเสร็จให้จุ่มหัวนมด้วยน้ำยาจุ่มหัวนมทุกครั้งและปล่อยให้โคยืนอย่างน้อย 30 นาที โดยการให้อาหารข้นหลังรีดนม

4. สภาวะของสิ่งแวดล้อม ได้แก่

     - อุณหภูมิสูงและความชื้นสูง เช่น ช่วงที่ฝนตก จะทำให้เชื้อจุลินทรีย์เริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
     - พื้นคอกที่สกปรกจะเพิ่มโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ลงไปในน้ำนม

     แนวทางการปรับปรุง
1. รีบทำการส่งนมทันทีหลังจากรีดนมเสร็จ
2. ไม่ควรนำถึงที่บรรจุน้ำนมแล้ว วางตากแดดเป็นเวลานาน ๆ
3. ไม่นำอุปกรณ์ใด ๆ ลงไปแช่ในถังนมที่มีน้ำนมอยู่ แม้ว่าจะแน่ใจว่าสะอาดก็ตาม

4. พื้นคอกจะต้องสะอาดอยู่อย่างสม่ำเสมอ

การตรวจสอบคุณภาพน้ำนมดิบ
นมดิบ (raw milk) เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมหลายชนิด เช่น นมพาสเจอร์ไรซ์ นมเปรี้ยว โยเกิร์ต นมผงเนยแข็ง คุณภาพน้ำนมดิบมีผลโดยตรงต่อ การตรวจสอบคุณภาพน้ำนมดิบ เป็นการตรวจสอบคุณภาพเพื่อการรับซื้อ และกำหนดราคารับซื้อนมดิบ

· คุณภาพทางกายภาพและเคมี

· คุณภาพด้านจุลินทรีย์

· คุณภาพน้ำนมดิบตามมาตรฐาน มกอช


การตรวจสอบคุณภาพน้ำนมดิบ

นมดิบ (raw milk) เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมหลายชนิด เช่น นมพาสเจอร์ไรซ์ นมเปรี้ยว โยเกิร์ต นมผงเนยแข็ง คุณภาพน้ำนมดิบมีผลโดยตรงต่อ การตรวจสอบคุณภาพน้ำนมดิบ เป็นการตรวจสอบคุณภาพเพื่อการรับซื้อ และกำหนดราคารับซื้อนมดิบ

· คุณภาพทางกายภาพและเคมี

· คุณภาพด้านจุลินทรีย์

· คุณภาพน้ำนมดิบตามมาตรฐาน มกอช


คุณภาพทางกายภาพและเคมี

1 สี ปกติ สีของน้ำนม มีสีขาวหรือสีขาวนวล

2 pH น้ำนมวัวในธรรมชาติ ป็นกรดเล็กน้อยหรือที่ระดับค่อนข้างเป็นกลาง คือที่ pH 6.6 - 6.8 อันเนื่องจากองค์ประกอบ เช่น เคซีน (casein) , albumin, globulin, citrate, phosphate และ CO2 รวมทั้งเกลือแร่ต่างๆที่ละลายอยู่ ความเป็นกรดดังกล่าวคือความเป็นกรดธรรมชาติ น้ำนมจากโคนมที่เป็นโรคเต้านมอักเสบ จะมีฤทธิ์เป็นด่าง การวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ทำได้โดยใช้เครื่องpH meter

3 องค์ประกอบ ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของน้ำนมคือ น้ำซึ่งมีอยู่ประมาณ 87%ส่วนที่เหลือคือไขมันนม และธาตุน้ำนม (milk solid not fat) ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน น้ำตาลแลคโตส เกลือแร่ วิตามิน ซึ่ง เกณฑ์ที่ใช้ในการให้ราคาน้ำนมดิบ ในประเทศไทยคือเปอร์เซ็นต์ ไขมันเนย และ เปอร์เซ็นต์ ของแข็งไม่รวมไขมัน (milk solid not fat) ส่วนประกอบต่าง ๆ ในน้ำนม จะมีค่าสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับอาหารที่เลี้ยงโคนม พันธุ์โคนม ฤดูกาล ระยะเวลาให้น้ำนม อายุของโคนมสุขภาพของโค คุณลักษณะเฉพาะตัวของโคนมและวิธีการรีดน้ำนม

การตรวจวิเคราะห์ส่วนประกอบน้ำนมอาจใช้เครื่องมืออัตโนมัติ ซึ่งสามารถตรวจหาค่าส่วนประกอบต่าง ๆ ได้ทั้ง ไขมัน โปรตีน น้ำตาลแลคโตส ของแข็ง ไม่รวมไขมันและของแข็งทั้งหมด ในน้ำนมในเวลาเดียวกัน

มกอช. ได้กำหนดให้น้ำนมดิบคุณภาพดีควรมีองค์ประกอบน้ำนม

ไขมัน (butter fat) โดยทั่วไปไขมันนมมีค่าอยู่ระหว่าง 3.2-3.5 น้ำนมดิบตามมาตรฐาน มกอช กำหนดให้มีปริมาณไขมันนมไม่น้อยกว่าร้อยละ 3.2โปรตีน (Protein) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.8 ธาตุน้ำนมไม่รวมไขมัน (Milk Solids Not Fat) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 8.25 ธาตุน้ำนมทั้งหมด (Total solids) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 12 การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในน้ำนมดิบ (Somatic Cell Count) ไม่มากกว่า 500,000 เซลล์ / มิลลิลิตร

4 จุดเยือกแข็ง (freezing point) เพื่อตรวจการปลอมปนน้ำ โดยใช้เครื่องหาจุดเยือกแข็ง (Cryoscope) น้ำนมดิบคุณภาพดีควรมีค่าจุดเยือกแข็งระหว่าง -0.520 ถึง -0.525C

5 ค่าความถ่วงจำเพาะ (specific gravity) ใช้เครื่องมือแลคโตมิเตอร์ (Lactometer) ซึ่งปกติความถ่วงจำเพาะของ น้ำนมอยู่ระหว่าง 1.028 ถึง 1.034 g/ml ที่อุณหภูมิ 20 C น้ำนมดิบตามมาตรฐาน มีค่าความถ่างจำเพาะไม่ต่ำกว่า 1.028

คุณภาพด้านจุลินทรีย์

1 การประมาณจำนวนจุลินทรีย์ โดยดูการเปลี่ยนสีของน้ำยาหรือรีดั๊กชั่นเทสต์ จะสามารถแบ่งเกรดของน้ำนมได้เพราะปริมาณจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำนมจะทำให้สีของน้ำยาทดสอบเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาหลังจากที่เติมน้ำยานั้นลงไปในตัวอย่างน้ำนม

การตรวจสอบแบ่งเป็น 2 ชนิด ตามชนิดของน้ำยาที่ใช้ คือเมธิลีนบลูและรีซาซูรีน

เมธิลีนบลูรีดั๊กชั่นเทสต์ ดูการเปลี่ยนแปลงของสีหลังจากเติมน้ำยาเมธิลีนบลู และบ่มที่อุณหภูมิ 37 องศา ซ. การอ่านผลให้อ่านผลครั้งแรก หลังจากเติมน้ำยาไปแล้วครึ่งชั่วโมงและอ่านผลหลังจากนั้นทุก ๆ ชั่วโมง จนถึง 6 ชั่วโมง ตัวอย่างที่มีจุลินทรีย์มากจะเปลี่ยนสีของน้ำยา จากสีฟ้าอมเขียว เป้นสีขาว

รีซาซูรีน รีดั๊กชั่นเทสต์ ดูการเปลี่ยนแปลงสีหลังจากเติมน้ำยารีซาซูรีนและบ่มที่อุณหภูมิ 37 องศา ซ. การอ่านผลให้อ่านหลังจากเติมน้ำยา 1 ชั่วโมง หรืออ่านผลในชั่วโมงที่ 1 และ 3 การเปลี่ยนสีของน้ำยารีซาซูรีน จะเปลี่ยนจากสีม่วงน้ำเงิน เป็นสีม่วงแดง ชมพู หรือขาว ตามจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำมันนั้น

2 การตรวจนับปริมาณจุลินทรีย์

จุลินทรีย์ในน้ำนมที่ตรวจเป็นงานประจำได้แก่ แบคทีเรีย ยีสต์ และรา จำนวนจุลินทรีย์ในน้ำนมจะมีปริมาณมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่ การปฏิบัติต่อโคนมในขณะรีดนม การทำความสะอาด การจัดการสุขาภิบาลในคอก และการปนเปื้อนจากภาชนะที่ใช้ในการรีดนมหรือผู้รีดนม

การตรวจทางจุลชีววิทยา สามารถแบ่งเป็นการตรวจนับจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมด การตรวจหาแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มการตรวจนับแบคทีเรียที่ทนความร้อน (thermophilic bacteria) การตรวจนับแบคทีเรียที่ชอบความเย็นวิธีในการตรวจนับทางจุลชีววิทยา จะทำโดยใช้อาหารเลี้ยงเชื้อ (nutrient agar) ผสมกับน้ำนมหรือน้ำนมที่เจือจางแล้ว ให้เข้ากันในจานอาหารเลี้ยงเชื้อ จากนั้นจะเพาะจานอาหารเลี้ยงเชื้อไว้ โดยบ่มที่อุณหภูมิระดับต่าง ๆ ตามแต่ชนิดของการตรวจสอบ1 การตรวจนับจุลินทรีย์ทั้งหมด (standard plate count) น้ำนมที่สะอาดคุณภาพยอดเยี่ยมจะมีจุลินทรีย์เพียง 1,000 เซลล์ต่อน้ำนม 1 มิลลิลิตร ในประเทศไทยให้คุณภาพน้ำนมเกรดหนึ่งที่จำนวน 100,000 เซลล์ต่อน้ำนม 1 มิลลิลิตร จุลินทรีย์ในน้ำนมสามารถตรวจนับได้หลังจากบ่มที่อุณหภูมิ 32 องศา ซ. เป็นเวลา 48 ชั่วโมงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ได้กำหนดให้น้ำนมดิบที่นำมาผลิตนมสดมีจุลินทรีย์ทั้งหมดในน้ำนมไม่เกิน 400,000 เซลล์ ต่อน้ำนม 1 มิลลิลิตร

2 การตรวจหาแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์ม (coliform) แบคทีเรียในกลุ่มโคลิฟอร์ม พบได้ในลำไส้ของคนและสัตว์ ในอุจจาระ ในโคนมที่เป็นโรคเต้านมอักเสบ ในภาชนะรีดนม หรือในคอกซึ่งล้างทำความสะอาดไม่ทั่วถึง หากตรวจพบจุลินทรีย์กลุ่มนี้มากกว่า 100 เซลล์ ต่อน้ำนม 1 มิลลิลิตร การปนเปื้อน ของแบคทีเรียกลุ่มนี้ แสดงถึง สุขลักษณะที่ไม่ดีของการรีดนม วิธีการตรวจสอบแบคทีเรียในกลุ่มโคลิฟอร์ม ทำโดยใช้อาหารเลี้ยงเชื้อสำหรับหาจุลินทรีย์กลุ่มนี้ผสมกับน้ำนม แล้วบ่มที่อุณหภูมิ 37 องศา ซ. เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นตรวจนับจำนวนจุลินทรีย์ ที่มีลักษณะเฉพาะที่ขึ้นในจานอาหารเลี้ยงเชื้อนั้น

3 การตรวจนับแบคทีเรียที่ทนความร้อน (thermophilic bacteria) แบคทีเรียสามารถแบ่งเป็นชนิดตามอุณหภูมิที่เจริญเติบโต ในน้ำนมจะมีแบคทีเรีย ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ภายหลังขบวนการพาสเจอร์ไรซ์ซึ่งแบคทีเรียนี้จะอยู่ตามเต้านม และภาชนะใส่นม ในน้ำนมที่มีจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดมากมีแบคทีเรียชนิดนี้อยู่มากและมีผลทำให้อายุการเก็บน้ำนมนั้นสั้นลง

การตรวจแบคทีเรียในกลุ่มนี้ จะต้องทำน้ำนมให้ร้อนเสียก่อนที่อุณหภูมิ 62 องศา ซ. เป็นเวลา 30 นาที จากนั้นนำตัวอย่างน้ำนมนั้น มาตรวจโดยใช้วิธีเดียวกับการตรวจนับจำนวนแบคทีเรียทั้งหมด

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ระบุให้น้ำนมพาสเจอร์ไรซ์ มีแบคทีเรียได้ไม่เกิน 10,000 เซลล์ ต่อน้ำนม 1 มิลลิลิตร

การตรวจนับแบคทีเรียที่ชอบความเย็น ยังมีแบคทีเรียอีกกลุ่มหนึ่งในน้ำนมซึ่งเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิต่ำแบคทีเรียกลุ่มนี้จะพบได้ในเต้านมและในถังนม ซึ่งมีอุณหภูมิที่ลดต่ำ 2-7 องศา ซ. ส่วนใหญ่ของจุลินทรีย์กลุ่มนี้สามารถถูกทำลายได้ด้วยความร้อน หากยังมีอยู่ในน้ำนม จะทำให้คุณภาพของน้ำนมนั้นลดลง มักทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์เพราะจุลินทรีย์พวกนี้จะสร้างน้ำย่อย ย่อยโปรตีนและไขมันในน้ำนม ทำให้น้ำนมเสื่อมคุณภาพและเน่าเสียได้


การตรวจนับแบคทีเรียกลุ่มนี้ จะบ่มที่อุณหภูมิ 7 องศา ซ. เป็นเวลา 10 วัน

คุณภาพน้ำนมดิบตามมาตรฐาน มกอช




องค์ประกอบ
ค่ามาตรฐาน มกอช
%ไขมัน (Fat)
ไม่น้อยกว่า 3.5
%โปรตีน (Protein)
ไม่น้อยกว่า 2.8
% น้ำตาลแลคโตส (lactose)
ไม่น้อยกว่า 4.5 (ค่าทั่วไป)
% ธาตุน้ำนมไม่รวมมันเนย (solid not fat,SNF)
ไม่น้อยกว่า 8.25
%ธาตุน้ำนมทั้งหมด (total solid,TS)
ไม่น้อยกว่า 12
การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในน้ำนมดิบ (Somatic Cell Count, SCC)
ไม่เกิน 500,000 cell/ml
จุลินทรีย์ทั้งหมด (standard plate count)
ไม่เกิน 600,000 colony/ml
จุลินทรีย์โคโลฟอร์ม (coliform)
ไม่เกิน 10,000 colony/ml
แบคทีเรียทนร้อน (thermophilic bacteria)
ไม่เกิน 1,000 colony/ml
จุดเยือกแข็ง (freezing point)
-0.52 ถึง 0.525
ความถ่วงจำเพาะ (specific gravity)
1.028 ถึง 1.034










โรคและการสุขาภิบาลโคเนื้อ-โคนม


โรคและการสุขาภิบาลโคเนื้อ-โคนม

ปัญหาสุขภาพและโรคสำคัญในโคเนื้อ




ความรู้พื้นฐานการแพร่ระบาดของโรค โดยทั่วไีปมี 2 ทาง คือ


1. ทางตรง 


- หายใจรดกัน 

- เชื้อเข้าทางบาดแผล
- การดูดนม
- การผสมพันธุ์ 
- เลียกินสิ่งขับถ่ายจากสัตว์ป่วย
 - อุจจาระ ปัสสาวะ รก ของเหลวจากช่องคลอด

2. ทางอ้อม

ตัวนำมีชิวิต 
- แมลงวัน ยุง เห็บ เหา ไร เหลือบ หอยคัน
- นก หนู สุนัข คน

ตัวนำไม่มีชีวิต
 - น้ำ อาหาร วัสดุรองพื้นคอก เสื้อผ้า รองเท้า รถยนต์
- เครื่งองมือแพทย์
- ผลิตภัณฑ์สัตว์ที่นำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น กระดูกป่น นม

กลุ่มโรค โดยทั่วไปแบ่งออกได้ 4 กลุ่ม คือ

1.  กลุ่มโรคระบาด 
- คอบวม (เฮโม)
- ปากเท้าเปื่อย (FMD)
- พาราทีบี (Paratuberculosis)
- ไข้ขา (Black leg)

2. กลุ่มโรคสัตว์ติดคน 
- แอนแทรกซ์
 - บรูเซลโลซิส
- วัณโรค (T.B.)
- พิษสุนัขบ้า
- เลปโตสไปโรซิส

3. กลุ่มโรคพยาธิต่างๆ

3.1 พยาธิในทางเดินอาหาร

อายุน้อยกว่า 6 เดือน
- พยาธิไส้เดือน 
- พยาธิเส้นด้าย
- บิด 

อายุมากกว่า 6 เดือน
 - พยาธิใบไม้ตับ 
พยาธิปากขอ
พยาธิใบไม้ในเลือด (ชิสโตโซม)

3.2 พยาธิภายนอก
- เห็บ 
- ขี้เรื้อน
- หนอนแมลงไชแผล
- เหา
- แมลงดูดเลือดชนิต่างๆ เช่น แมลงวันคอก ตัวเหลือบ เห็บบิน

3.3 พยาธิในเลือด

                

- บาบีเซีย
- อะนาพลาสม่า
- ทริปปาโนโซม
- ไทเลอเรีย


          โรคโคนมและโคเนื้อ เกิดเจ็บป่วยด้วยโรคแบบเดียวกัน แต่

บางโรคเกิดขึ้นกับโคนมบ่อยกว่าโคเนื้อ โรคโคนมบางโรค เชื้อ

สาเหตุสามารถติดต่อมาถึงคนโดยผ่านทางน้ำนม ดังนั้นคนที่บริโภค

น้ำนมดิบที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคจึงมีโอกาสติดเชื้อโรคจากโคนมได้ 

เช่น วัณโรค (Tuberculosis) และโรคบรูเซลโลซิล (Brucellosis) 

น้ำนมโคที่จะได้คุณภาพสูงโคนมจะต้องถูกควบคุมตรวจสอบโรคบาง

โรคเป็นประจำ โรคของโคนมที่น่าสนใจบางโรค ได้แก่

เต้านมอักเสบ


เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับโคนมและมีผลเสียหายต่อการให้น้ำนมและ

สุขภาพโค การเกิดโรคเต้านมอักเสบ สร้างความเสียหายดังนี้
  • การให้น้ำนมของแม่โคลดลง
  • ทำให้เสียเวลาในการดูแลรักษา
  • เสียค่าใช้ยา และค่ารักษาพยาบาล
  • น้ำนมจากโคที่เป็นโรคเต้านมอักเสบต้องเททิ้ง
  • ทำให้ต้องคัดแม่โคออกจากฝูง
         เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับโคนมและมีผลเสียหายต่อการให้

น้ำนมและสุขภาพโค การเกิดโรคเต้านมอักเสบ สร้างความเสียหาย

ดังนี้ เต้านมอักเสบเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ลุกลามเข้าไปในเต้านมโดย

ผ่านเข้าไปทางรูนม เชื้อสาเหตุมีมากมายหลายชนิด ที่พบบ่อยมักจะ

เป็นพวก Streptococcus หรือ Staphylococcus โรคเต้านมอักเสบที่

มีอาการรุนแรง โคจะแสดงอาการดังนี้
  • เต้านมอักเสบ
  • เต้านมบวม ร้อน บริเวณติดเชื้อเป็นไตแข็ง
  • น้ำนมลด
  • น้ำนมที่รีดได้ผิดปกติ เช่น น้ำนมจับตัวเป็นเส้น มีตะกอนสีเหลือง มีเลือดปน
  • แม่โคไม่กินอาหาร ซึม มีไข้

Streptococcus

Staphylococcus

อาการเต้านมอักเสบเรื้อรัง โคมีอาการดังนี้
  • น้ำนมที่รีดได้ผิดปกติ (มีตะกอน เป็นเกล็ด นมใส)
  • เต้านมบวมและแข็ง ต่อมาอาจจะหายเป็นปกติ
  • ารให้น้ำนมของแม่โคลดลง

การป้องกันและรักษาโรคเต้านมอักเสบทำได้โดย

1. รักษาความสะอาดของคอก อุปกรณ์ และทุกขั้นตอนของการรีด

2. ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำผสมน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดเต้านมให้สะอาด แล้ว

เช็ดด้วยผ้าสะอาดก่อนรีดทุกครั้ง

3. อย่าใช้เวลารีดนมนานเกินไป รีดนมให้หมดเต้า แล้วจุ่มหัวนมหรือ

เช็ดซ้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันทีที่รีดเสร็จ

4. อย่าเปลี่ยนคนรีดโดยไม่จำเป็น และรีดให้ตรงเวลา

5. ตรวจเช็คน้ำนมทุกเต้าก่อนรีดลงถังโดยรีดใส่ภาชนะสีเข้ม และถ้า

พบความผิดปกติ ให้รีดไปทิ้งห่างไกลจากคอก แล้วล้างมือให้สะอาด

6. รีดโคเต้านมอักเสบเป็นตัวสุดท้าย และรีดเต้าที่อักเสบเป็นเต้า

สุดท้ายด้วย

7. รักษาทันทีที่พบว่าโคเต้านมอักเสบ แล้วรีบแจ้งหรือขอคำแนะนำ

จากสัตวแพทย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นรุนแรง (ดูรายละเอียด

จากเรื่องยาสอดเต้านม)

8. ควรสอดยาป้องกันเต้านมอักเสบให้แก่โคที่เคยเป็นโรคนี้เมื่อหยุด

รีดนม

รกค้าง (Retained placenta)

การเกิดรกค้างหมายถึงว่าหลังคลอดลูกแม่โคไม่ได้ขับรกออกมาใน

ช่วง 12-14 ชั่วโมง ปกติแล้วร้อยละ 10-20 ของแม่โคมักจะเกิดรก

ค้าง ถ้าเราเกิดขึ้นบ่อยครั้งสูงกว่าเกณฑ์ปกติแสดงว่าผู้เลี้ยงควรดูแล

เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด สาเหตุของรกค้างเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้


  • เกิดการติดเชื้อโรคในช่องอวัยวะสืบพันธุ์ของแม่โคขณะอุ้มท้อง
  • แม่โคได้รับวิตามิน A หรือ E ธาตุไอโอดีน และซิลิเนียมไม่เพียงพอ
  • แคลเซียมและฟอสฟอรัสในอาหารไม่สมดุล
  • แม่โคอ้วนมากเกินไป (ได้รับอาหารข้นมากเกินไป)
  • เกิดความเครียดเนื่องจากคลอดลูกเร็วเกินไป


การจัดการที่ดีช่วยลดการเกิดค้างได้ กรณีที่เกิดรกค้างกับแม่โคให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อรักษาต่อไป


ไข้นม (Milk fever)
ไข้นมเกิดจากการขาดแคลเซียมในเลือด มักเกิดกับแม่โคที่มีอายุน้อย แม่โคที่ให้นมสูง มักเกิดภายใน 2-3 วันหลังคลอดลูก
อาการของไข้นม ประกอบด้วย


  • แม่โคเบื่ออาหาร
  • แม่โคมีอาการตื่นเต้น
  • ซึม ตัวเย็น เนื้อจมูก (muzzle) แห้ง
  • เป็นอัมพาต ล้มลงนอน เอาหัวพาดไปกับลำตัว
  • ต่อมานอนเอาข้างลง เกร็งยืดตัวหัวออก
  • มีอาการท้องอืด

การป้องกันทำได้โดยการจัดสัดส่วนอาหารให้มีโภชนะสมดุลปรับอัตราส่วน Ca : P ให้ถูกต้อง การรักษาสัตว์ป่วยทำได้โดยการฉีดยาสารละลายแคลเซียมเข้าเส้นเลือด

การป้องกันโรคโคนม

โรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำความเสียหายให้แก่ผู้เลี้ยงโคนมไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งถ้า เกิดขึ้นกับฟาร์มใด อาจทำให้ถึงกับต้องเลิกล้มกิจการได้ การป้องกันโรคโคนมควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
  • เลี้ยงแต่โคที่แข็งแรงสมบูรณ์และปลอดจากโรค ไม่ควรเลี้ยงโคที่อ่อนแอโคที่เป็นเรื้อรังรักษาไม่หายขาด โรคทางกรรมพันธุ์ เช่น โรคไส้เลื่อน, โรคติดต่อร้ายแรง เช่นโรคแท้งติดต่อหรือวัณโรค เป็นต้น
  • ให้อาหารที่มีคุณภาพดีและมีจำนวนเพียงพอ ถ้าให้อาหารไม่ถูกต้องเพียงพอ หรือให้อาหารเสื่อมคุณภาพ หรือมีสิ่งปลอมปนอาจทำให้โคเป็นโรคไข้น้ำนม, โรคขาดอาหาร รวมทั้งทำให้อ่อนแอเกิดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเกษตรกรควรซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และระวังอาหารที่เป็นพิษ เช่นมีเชื้อรา พืชที่พ่นยาฆ่า แมลง เป็นต้น
  • จัดการเลี้ยงดูและป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงให้เหมาะสม สำหรับข้อนี้เป็นวิธีการลงมือปฏิบัติที่ค่อนข้าง สับสน เพื่อให้เข้าใจง่าย สะดวกแก่การปฏิบัติ จึงขอแยกแยะออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้
  1. คอกคลอดควรได้รับการทำความสะอาด และใช้ยาฆ่าเชื้อพ่นหรือราดทิ้งไว้ 2-3 อาทิตย์ก่อนนำแม่โค เข้าคลอด
  2. ลูกโคที่เกิดใหม่ต้องล้วงเอาเยือกเมือกที่อยู่ในจมูกปากออกให้หมดเช็ดตัวลูกโคให้แห้ง
  3. สายสะดือลูกโคที่เกิดใหม่ต้องใส่ทิงเจอร์ไอโอดีนให้โชกและใส่ยากันแมลงวันวางไข่ทุกวันจนกว่าสาย สะดือจะแห้ง
  4. ให้ลูกโคกินนมน้ำเหลืองโดยเร็วถ้าเป็นไปได้ควรให้กินภายใน 15 นาทีหลังคลอด
  5. ทำความสะอาดคอกลูกโค เช่นเดียวกันคอกคลอดก่อนนำลูกโคเข้าไปเลี้ยง
  6. ควรเลี้ยงลูกโคในคอกเดี่ยวเฉพาะตัว
  7. เครื่องมือเครื่องใช้เช่น ถังนมที่ใช้เลี้ยงลูกโคไม่ควรปะปนกัน
  8. ให้ลูกโคกินนมไม่เกิน 10% ของน้ำหนักตัว แบ่งออกเป็น 2 ครั้งต่อวัน
  9. หัดให้ลูกโคกินอาหารและหญ้าโดยเร็ว (เมื่อลูกโคอายุได้ประมาณ 1 อาทิตย์) อาหารที่เหลือต้องกวาดทิ้ง ทุกวัน น้ำสะอาดควรมีให้กินตลอดเวลา
  10. ลูกโคต้องตัวแห้งเสมอ วัสดุที่ใช้รองนอนต้องเปลี่ยนทุกวัน
  11. แยกลูกโคที่อายุต่างกันให้อยู่ห่างกัน
  12. ถ่ายพยาธิเมื่อลูกโคอายุ 3 เดือน และถ่ายซ้ำอีกปีละ 1-2 ครั้งหรือตามความเหมาะสม
  13. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแท้งติดต่อสะเตรน 19 ให้แก่ลูกโคเพศเมีย เมื่อลูกโคอายุ 3-8 เดือน
  14. เมื่อลูกโคหย่านมต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงดังนี้
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าต้องฉีดให้ครบ 3 ชนิด (เอ, เอเชียวันและโอ) และฉีดซ้ำทุก 6 เดือน
  • ฉีดวัคซีนโรคเฮโมรายิกเซพติซิเมีย (โรคคอบวม) และฉีดซ้ำทุก 6 เดือน
  • ฉีดวัดซีนโรคแอนแทรกซ์ (โรคกาลี) และฉีดซ้ำทุกปี
15. พ่นหรืออาบยาฆ่าเห็บทุก 15 วัน หรือตามความเหมาะสม เช่น 

อาจจะอาบหรือพ่นทุก 1 เดือนหรือ นานกว่านี้ก็ได้

16. แม่โคที่แสดงอาหารแบ่งนานเกิน 3 ชั่วโมงแล้วไม่สามารถคลอด

ลูกได้ หรือแม่โคที่คลอดลูกแล้วมีรก ค้างเกิน 12 ชม. ควรตาม

สัตวแพทย์

17. จัดการป้องกันโรคเต้านมอักเสบโดยเคร่งครัดดังนี้

บริเวณคอกต้องแห้ง ไม่มีที่ชื้นแฉอะแฉะ เป็นโคลนตมไม่มีวัตถุ

แหลมคม เช่นรั้ว ลวดหนาม ตาปู

  • รีดนมตามลำดับโดยรีดโคสาวก่อน แล้วรีดโคที่มีอายุมากขึ้น ส่วนโคที่เป็นโรคให้รีดหลังสุด
  • ก่อนรีดต้องเช็ดเต้านมด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำคลอรีน ผ้าที่ใช้เช็ดเต้านมควรใช้เฉพาะตัวไม่ปะปนกัน


มาตฐานฟาร์มโคเนื้อ-โคนม การวิเคราะห์ข้อมูลฟาร์ม

มาตฐานฟาร์มโคเนื้อ-โคนม

มาตรฐานบางประการสำหรับการเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทย

นับตั้งแต่ได้มีการก่อตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลและกำหนดมาตรการต่างๆ ในการส่งออกสินค้าสู่ตลาดประเทศ ซึ่งเริ่มมีการบังคับใช้ในปี พ.. 2543 ประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกองค์กรดังกล่าว จึงมีความตื่นตัวและจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น หน่วยงานที่รับผิดชอบในการผลิตปศุสัตว์ในประเทศไทย คือ กรมปศุสัตว์ ได้ออกกฎ ระเบียบ กฎหมาย รวมถึงมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก และองค์กรโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) 
และถือว่าเป็นมาตรฐานการผลิตสินค้าทางการเกษตร (GAP) ด้านการผลิตปศุสัตว์ ซึ่งมีมาตรฐานที่สำคัญบางประการดังนี้
·        มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์
·        การควบคุมการใช้ยาในมาตรฐานฟาร์มปศุสัตว์
·        ข้อกำหนดการควบคุมการใช้ยาสำหรับสัตว์

1.      มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศเรื่องมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ประเทศไทย พ.. 2542 เมื่อวันที่ พฤศจิกายน 2542 จำนวน เรื่อง คือ
·        มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อของประเทศไทย
·        มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสุกรของประเทศไทย
·        มาตรฐานฟาร์มโคนมและการผลิตน้ำนมดิบของประเทศไทย
โดยให้ผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่มีความต้องการขอใบรับรองมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์จากกรมปศุสัตว์ เพื่อยื่นคำร้องพร้อมด้วยหลักฐานต่อปศุสัตว์จังหวัดหรือปศุสัตว์อำเภอในท้องที่ฟาร์มตั้งอยู่ แล้วเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จึงไปทำการตรวจสอบฟาร์มเพื่อดำเนินการต่อไป

มาตรฐานฟาร์มโคนมและการผลิตน้ำนมดิบ

1. คำนำ

                    มาตรฐานฟาร์มฟาร์มโคนมและการผลิตน้ำนมดิบนี้ กำหนดขึ้นเป็นมาตรฐานเพื่อให้ฟาร์มโคนมที่ต้องการขึ้นทะเบียน รับรองเป็นฟาร์มที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ได้ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติด้านการ
จัดการฟาร์ม ซึ่งมาตรฐานนี้เป็นเกณฑ์ที่มาตรฐานขั้นพื้นฐานสำหรับฟาร์มที่จะได้รับการรับรอง

2. วัตถุประสงค์

                    มาตรฐานฟาร์มฟาร์มโคนมและการผลิตน้ำนมดิบนี้กำหนดวิธีปฏิบัติด้านฟาร์ม การจัดการฟาร์ม สุขภาพโคนม การเก็บรักษาน้ำนมดิบและการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้น้ำนมที่ถูกสุขลักษณะ และ
เหมาะสมสำหรับผู้บริโภค

3. นิยาม

                    ฟาร์มโคนม หมายถึง ฟาร์มเพาะเลี้ยงโคนม เพื่อผลิตโคนมและน้ำนมดิบ
            การผลิตน้ำนมดิบ หมายถึง การผลิตนมอย่างมีประสิทธิภาพ ได้นมที่บริสุทธิ์ คุณภาพสูงตามความต้องการของผู้บริโภค และสามารถทำรายได้ดีให้กับเกษตรกร

4. องค์ประกอบของฟาร์มโคนม

4.1          ทำเลที่ตั้งของฟาร์มโคนม
              4.1.1   อยู่บริเวณที่มีการคมนาคมสะดวก
        4.1.2   สามารถป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคจากภายนอกเข้าสู่ฟาร์ม
              4.1.3   อยู่ห่างจากแหล่งชุมชน โรงฆ่าสัตว์ ตลาดนัดค้าสัตว์ และเส้นทางที่มีการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์
              4.1.4   อยู่ในทำเลที่มี แหล่งน้ำสะอาดตามมาตรฐานคุณภาพน้ำใช้เพื่อการบริโภคอย่างเพียงพอ
              4.1.5   ควรได้รับการยินยอมจากองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
              4.1.6   เป็นบริเวณที่ไม่มีน้ำท่วมขัง
              4.1.7   เป็นบริเวณที่โปร่ง อากาศสามารถถ่ายเทได้ดี และมีต้นไม้ให้ร่มเงาภายในฟาร์มโคนมและแปลงหญ้าพอสมควร
     4.2  ลักษณะของฟาร์มโคนม
              4.2.1   เนื้อที่ของฟาร์มโคนม
                          ต้องมีเนื้อที่เหมาะสมกับขนาดของ โรงเรือน และการอยู่อาศัยของโคนม
              4.2.2   การจัดแบ่งเนื้อที่
                          ต้องมีเนื้อที่กว้างเพียงพอสำหรับการจัดแบ่งการก่อสร้างอาคารโรงเรือนอย่างเป็นระเบียบ 
สอดคล้องกับการปฏิบัติงานและไม่หนาแน่นจนไม่สามารถจัดการด้านการผลิตสัตว์ การควบคุมโรคสัตว์ สุขอนามัยของผู้ปฏิบัติงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้ตามหลักวิชาการ ฟาร์มจะต้องมีการจัดแบ่งพื้นที่ฟาร์มเป็นสัดส่วนโดยมีผังแสดงการจัดวางที่แน่นอน
              4.2.4   บ้านพักอาศัยและอาการสำนักงาน
                          อยู่ในบริเวณอาศัย โดยเฉพาะไม่มีการเข้าอยู่อาศัยในบริเวณโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ บ้านพักต้องอยู่ในสภาพแข็งแรง สะอาด เป็นระเบียบไม่สกปรกรกรุงรัง มีปริมาณเพียงพอกับจำนวนเจ้าหน้าที่ ต้องแยกห่างจากบริเวณเลี้ยงสัตว์พอสมควร สะอาด ร่มรื่น มีรั้วกั้นแบ่งแยกจากบริเวณเลี้ยงสัตว์ตามที่กำหนดอย่างชัดเจน
              4.2.5   ไม่ควรให้สัตว์เลี้ยงที่อาจเป็นพาหะนำโรคเข้าไปในบริเวณเลี้ยงโคนม
      4.3  ลักษณะโรงเรือน
              โรงเรือนที่ใช้เลี้ยงโคนมควรมีขนาดที่เหมาะสมกับจำนวนโคนมที่เลี้ยง ถูกสุขลักษณะและอยู่สุขสบาย
 
5.  การจัดการฟาร์ม
      5.1  การจัดการโรงเรือน
              5.1.1   โรงเรือน และที่ให้อาหาร ต้องสะอาดและแห้ง
              5.1.2   โรงเรือนต้องสะดวกในการปฏิบัติงาน
              5.1.3   ต้องดูแลซ่อมแซมโรงเรือนให้มีความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
              5.1.4   มีการทำความสะอาดโรงเรือนและอุปกรณ์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคตามความเหมาะสม
              5.1.5   มีการจัดการโรงเรือน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนนำโคเข้าเลี้ยง

      5.2  การจัดการด้านบุคลากร
5.2.1     ให้มีสัตวแพทย์ ควบคุมกำกับดูแลด้านสุขภาพสัตว์ภายในฟาร์ม โดยสัตวแพทย์ต้องมี
ใบอนุญาตประกอบบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่ง และได้รับใบอนุญาตควบคุมฟาร์มโคนมจาก
กรมปศุสัตว์
5.2.2     ต้องมีจำนวนแรงงานอย่างเพียงพอและเหมาะสมกับจำนวนสัตว์ที่เลี้ยง มีการจัดแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจน นอกจากนี้บุคลากรภายในฟาร์มโคนมทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

     5.3  คู่มือการจัดการฟาร์ม
              ผู้ประกอบการฟาร์มโคนมต้องมีคู่มือการจัดการฟาร์ม แสดงให้เห็นระบบการเลี้ยง การจัดการฟาร์มระบบบันทึกข้อมูล การป้องกันและควบคุมโรค การดูแลสุขภาพสัตว์และสุขอนามัยในฟาร์มโคนม
      5.4  ระบบการบันทึกข้อมูล
              ฟาร์มจะต้องมีระบบการบันทึกข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย
              5.4.1   ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารฟาร์ม ได้แก่ บุคลากร แรงงาน
              5.4.2   ข้อมูลจัดการผลิตได้แก่ ข้อมูลตัวสัตว์ ข้อมูลสุขภาพสัตว์ ข้อมูลการผลิตและข้อมูลผลผลิต
     5.5  การจัดการด้านอาหารสัตว์
              5.5.1   คุณภาพอาหารสัตว์
              -     แหล่งที่มาของอาหารสัตว์
              .  ในกรณีซื้ออาหาร ต้องซื้อจากผู้ขายที่ได้รับอนุญาตตาม พ..ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.. 2525
              .   ในกรณีผสมอาหารสัตว์ ต้องมีคุณภาพอาหารสัตว์เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดตาม พ..ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.. 2525
              -     ภาชนะบรรจุและการขนส่ง
              ภาชนะบรรจุอาหารสัตว์ควรสะอาด ไม่เคยใช้บรรจุวัตถุมีพิษ ปุ๋ยหรือวัตถุอื่นๆ ใดที่อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์ สะอาด แห้ง กันความชื้นได้ ไม่มีสารที่จะปนเปื้อนกับอาหารสัตว์
              -     การตรวจสอบคุณภาพอาหารสัตว์
              ควรมีการตรวจสอบอาหารสัตว์อย่างง่าย  นอกจากนี้ต้องสุ่มตัวอย่างอาหารสัตว์ส่งห้องปฏิบัติการที่เชื่อถือได้ เพื่อวิเคราะห์คุณภาพและสารตกค้างเป็นประจำ และเก็บบันทึกผลการตรวจวิเคราะห์ไว้ให้ตรวจสอบได้
              5.2.2   การเก็บรักษาอาหารสัตว์
              ควรมีสถานที่เก็บอาหารสัตว์แยกต่างหาก กรณีมีวัตถุดิบเป็นวิตามินต้องเก็บในห้องปรับอากาศ ห้องเก็บอาหารสัตว์ ต้องสามารถรักษาสภาพของอาหารสัตว์ไม่ให้เปลี่ยนแปลง สะอาด แห้ง ปลอดจากแมลงและสัตว์ต่างๆ ควรมีแผงไม้รองด้านล่างของภาชนะบรรจุอาหารสัตว์

6.  การจัดการด้านสุขภาพสัตว์
      6.1  ฟาร์มโคนมจะต้องมีระบบเฝ้าระวังควบคุม และป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้รวมถึงการมีโปรแกรมทำลายเชื้อโรคก่อนเข้าและออกจากฟาร์ม การป้องกันการสะสมของเชื้อโรคในฟาร์ม การควบคุมโรคให้สงบโดยเร็ว และไม่ให้แพร่ระบาดจากฟาร์ม

      6.2  การบำบัดโรค
              1.   การบำบัดโรคสัตว์ ต้องปฏิบัติตาม พ..ควบคุมการประกอบการบำบัดโรคสัตว์ พ.. 2505
              2.   การใช้ยาสัตว์ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการใช้ยาสำหรับสัตว์ (มอก.7001-2540)

7.  การจัดการสิ่งแวดล้อม
      สิ่งปฏิกูลต่างๆ รวมถึงขยะ ต้องผ่านการกำจัดอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยข้างเคียง หรือ สิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
7.1  ขยะมูลฝอย
ทำการเก็บรวบรวมขยะมูลฝอยในถังที่มีฝาปิดมิดชิด และนำไปกำจัดทิ้งในบริเวณที่ทิ้งของเทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์กรท้องถิ่น
              7.2      ซากสัตว์ ทำการกลบฝังหรือทำลาย
7.3 มูลสัตว์
นำไปทำเป็นปุ๋ย หรือหมักเป็นปุ๋ย โดยไม่ทิ้งหรือกองเก็บในลักษณะที่จะทำให้เกิดกลิ่นหรือความรำคาญต่อผู้อยู่อาศัยข้างเคียง
7.4 น้ำเสีย 
ฟาร์มโคนมจะต้องจัดให้มีระบบเก็บกัก หรือบำบัดน้ำเสียให้เหมาะสม ทั้งนี้น้ำทิ้งที่ระบายออกนอกฟาร์ม จะต้องมีคุณภาพน้ำที่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งที่กำหนด
8. การผลิตน้ำนมดิบ
8.1 ตัวแม่โคให้นม
ฟาร์มโคนมต้องมีการเตรียมตัวแม่โคก่อนทำการรีดนม ให้สะอาด และไม่เครียด ก่อนการรีดนม
8.2 การรีดนมโค
ฟาร์มโคนมควรมีการทดสอบความผิดปกติของน้ำนมก่อนรีดนมลงถังรวม การรีดนมโค ควรให้ถูกต้องตามหลักวิธีของการรีดนมด้วยมือ หรือด้วยเครื่องรีดนม และมีการปฏิบัติต่อเต้านมโค และน้ำนมที่ผิดปกติ ตามหลักคำแนะนำของสัตวแพทย์
9.       การเก็บรักษาและการขนส่งน้ำนมดิบ
9.1 สำหรับเกษตรกร
ฟาร์มโคนมควรต้องรีบขนส่งน้ำนมที่รีดได้ ไปยังถังรวมนมของศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบให้เร็วที่สุดและหลังจากส่งน้ำนมแล้วควรทำความสะอาดถังรวมนมของฟาร์มโดยเร็ว ให้พร้อมใช้งานในครั้งต่อไปได้สะดวก
9.2 สำหรับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ
ควรมีระบบทำความเย็นน้ำนมดิบก่อนรวมในถังนมรวมของศูนย์รวบรวมน้ำนม และควรทำความสะอาดอุปกรณ์เก็บรักษาน้ำนมทั้งหมด ตามหลักวิธีที่ผู้ผลิตอุปกรณ์เก็บรักษาน้ำนมได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
9.3 คุณภาพน้ำนมดิบ
คุณภาพน้ำนมดิบโดยรวมของฟาร์มโคนม ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 26 .. 2522 และหรือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนมสด (มอก. 738-2530)

กฎข้อบังคับอื่นๆ ทางกฎหมาย
              1.   ข้อกำหนดการใช้ยาสำหรับสัตว์ (มอก. 7001-2540)
              2.   ..ควบคุมการประกอบการบำบัดโรคสัตว์ พ.. 2505
3.    มาตรฐานคุณภาพน้ำใช้
              4.   ..ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.. 2525
              5.   ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 26 (..2522)
6. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนมสด (มอก. 738-2530)

2. การควบคุมการใช้ยาในมาตรฐานฟาร์มปศุสัตว์

ยาสัตว์ในมาตรฐานฟาร์มปศุสัตว์ หมายถึง ยาสัตว์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์ที่ได้รับการอนุญาตให้ผลิต นำเข้า หรือขายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จำแนกออกเป็น กลุ่ม ดังนี้
1.       ยาแผนปัจจุบันสำหรับสัตว์ตามพระราชบัญญัติยา พ.. 2510
2.       ยาที่ผสมอยู่ในอาหารสัตว์ตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.. 2525
3.       ยาฆ่าเชื้อโรคที่ใช้สำหรับสัตว์ที่จัดเป็นวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.. 2535
                ตามพระราชบัญญัติยา พ.. 2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.. 2522 ยาหมายความถึง ยาสำเร็จรูปและเคมีภัณฑ์ที่นำมาใช้สำหรับสัตว์ ผู้ที่ประสงค์จะผลิตหรือ ขาย หรือ นำ หรือ สั่งยาสำเร็จรูปหรือเคมีภัณฑ์ ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยจะต้องได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาจากกองควบคุมยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วจึงจะผลิต หรือขาย หรือสั่งนำเข้าประเทศได้ และหากพบว่ายานั้นอาจจะไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุขจะมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนตำรับยาได้ แต่กรณีที่ต้องการผลิต นำ หรือสั่งเภสัชเคมีภัณฑ์ ไม่ต้องนำไปขอขึ้นทะเบียนตำรับยา เนื่องจากได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย
                ยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับยาอย่างถูกต้อง จะต้องมีฉลากและเอกสารกำกับยา และที่ฉลากจะแสดงเลขทะเบียนยาที่ได้รับอนุญาตเป็นเลขรหัสไว้ด้วย ผู้ใช้ยาจะต้องอ่านฉลากและเอกสารกำกับยาให้ละเอียดและใช้ยาตามสรรพคุณ ขนาด วิธีใช้ และ ข้อแนะนำในการปฏิบัติ ตลอดจนอ่านรายละเอียดของข้อควรระวังและคำเตือนตามด้วย
                นอกจากนี้ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 10 (.. 2530) ที่เกี่ยวข้องกับยาสัตว์ เรื่องวัตถุที่ได้รับการยกเว้นไม่เป็นยา มีดังนี้ วัตถุที่ได้รับยกเว้นไม่เป็นยาซึ่งประกาศให้วัตถุที่อยู่ในสภาพของสารผสมล่วงหน้า (พรีมิกซ์ที่มีความมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการเจริญเติบโตของสัตว์ และต้องไม่แสดงสรรพคุณเป็นยา ได้รับการยกเว้นจากการเป็นยา

มาตรฐานสากล

1. Hazard Analysis Critical Control Point (HACCP)

เป็นมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยอาหาร ซึ่งประกอบด้วยการวินิจฉัยและประเมินอันตรายของอาหารที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค ตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง จนกระทั่งถึงมือผู้บริโภค รวมทั้งสร้างระบบการควบคุม เพื่อขจัดหรือลดสาเหตุที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย
อันตรายที่เกิดขึ้นสามารถแยกได้เป็น กลุ่ม คือ
1.       อันตรายชีวภาพ (Biological Hazard) ได้แก่อันตรายที่เกิดจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ในอาหาร
2.     อันตรายเคมี (Chemical Hazard) ได้แก่อันตรายที่เกิดจากการใช้สารเคมีเติมลงไปในกระบวนการผลิตอาหาร เช่น การใช้ยาฆ่าแมลงในการเพาะปลูก การใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ การใช้สารเคมีเพื่อช่วยในการผลิต เช่น การใส่สี การเติมสารกันบูด การเติมสารกันหืน นอกจากนี้ยังอาจเกิดการปนเปื้อนจากน้ำยาทำความสะอาด ยาฆ่าเชื้อ และ สารเคมีที่ใช้ในการบำรุงรักษาเครื่องจักร เป็นต้น
3.     อันตรายกายภาพ (Physical Hazard) ได้แก่อันตรายจากการปนเปื้อนของวัตถุหรือวัสดุที่ไม่ใช่องค์ประกอบของอาหารและเป็นสิ่งแปลกปลอมในอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพของผู้บริโภค เช่น เศษแก้ว หิน เศษไม้ โลหะ เป็นต้น
นอกจากนี้การวิเคราะห์อันตรายยังถือเป็นจุดสำคัญที่สุดจุดหนึ่งในกระบวนการของ HACCP ซึ่งจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ดังนี้
         โอกาสที่จะเกิดอันตรายและความรุนแรงของผลเสียที่เกิดขึ้นซึ่งมีผลต่อสุขภาพ
         การประเมินผลเชิงคุณภาพและหรือเชิงปริมาณของการเกิดอันตราย
         การลดชีวิตหรือการเพิ่มจำนวนประชากรของจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้อง
         การผลิตหรือความคงทนอยู่ในอาหารของสารพิษที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต วัตถุเคมีและกายภาพ
         สภาวะที่เอื้ออำนวยให้เกิดปัจจัยดังกล่าวข้างต้น
ตัวอย่างที่นำมาใช้ เช่น ในโรงฆ่าสัตว์และโรงงานแปรรูปผลผลิตจากสัตว์ เป็นต้น
ตารางที่ ความชุกของเชื้อ Salmonella sppในผลิตเนื้อสัตว์ที่เปลี่ยนแปลงหลังจากการนำระบบ HACCP มาใช้ควบคุมในการผลิต
ชนิดผลิตภัณฑ์
Pre – HACCP (%)
Post - HACCP(%)
เนื้อไก่กระทง
20.0
10.9
เนื้อสุกร
8,7
4.4
เนื้อวัวบด
7.5
5.8
เนื้อไก่งวงบด
49.9
34.6
ที่มา: www.fsis.usda.gov/oa/bub/fsisact2000.htm

2. International Organization for Standardization (ISO)

เป็นข้อตกลงในกลุ่มประเทศที่เป็นสมาชิกว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อประโยชน์ทางการค้า หรือให้เกิดระบบมาตรฐานของโลกที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปในอนาคต ระบบนี้แยกได้เป็น กลุ่มคือ

2.1. มาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ หรือ ISO 9000 series

มีจุดประสงค์หลักในการจัดการระบบในองค์กร ทำให้การบริหารงานมีคุณภาพ มีการทบทวนและปรับปรุง
คุณภาพบนพื้นฐานความพอใจของลูกค้า ทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  ใช้ในผู้ประกอบการและผู้ให้บริการต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจร้านค้า และหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ มาตรการนี้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการค้าและสร้างความยอมรับร่วมกันในการซื้อขาย 

2.2. มาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม หรือ ISO 14000 series

มีจุดประสงค์หลักในการผลิตสินค้าและแสวงหากระบวนการผลิตที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดความสิ้นเปลืองของการใช้พลังงานและทรัพยากร และการนำทรัพยากรกลับมาหมุนเวียนใช้เท่าที่ทำได้ มาตรฐานนี้ไม่ได้มีการบังคับใช้ แต่มีแนวโน้มว่าจะมีการนำมาใช้ปฏิบัติเป็นมาตรการกีดกันทางการค้า

2.3. มาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย หรือ ISO 18000 series

มีจุดประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานประกอบการ โดยประเมินความเสี่ยงในการทำงานและหาวิธีป้องกันอุบัติภัยที่จะเกิดขึ้น มาตรฐานนี้ไม่ได้มีการบังคับใช้ แต่มีแนวโน้มว่าจะมีการนำมาใช้ปฏิบัติเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าเช่นกัน เช่น กีดกันสินค้าที่มาจากโรงงานที่ไม่ได้ก่อสร้างตามแบบมาตรฐาน ใช้แรงงานเด็ก ไม่มีระบบประกันสุขภาพ เป็นต้น

3. Agreement on Sanitary and Phytosanitary Measure (SPS Agreement)

เป็นข้อตกลงทางการค้าในรอบอุรุกวัยของ General Agreement on Tariffs and Trade (GATT) และได้จัดตั้งองค์กรค้าของโลกหรือ  World TradeOrganizaion ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ข้อตกลงนี้มีวัตถุประสงค์คือ
1.     เพื่อคุ้มครองชีวิตของคนและสัตว์จากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการปนเปื้อนของ Additives, Contaminants, Toxins หรือ โรคสัตว์ที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ในอาหาร
2.       เพื่อคุ้มครองชีวิตคน จากพืชและสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน
3.       เพื่อคุ้มครองชีวิตสัตว์และพืชจากโรคระบาดหรือโรคที่มีเชื้อจุลินทรีย์เป็นสาเหตุ
4.       เพื่อป้องกันหรือลดความสูญเสียที่เกิดจากการนำเข้าซึ่งสัตว์และพืชจากต่างประเทศที่มีโรคระบาดอยู่
ข้อตกลงนี้ไม่ครอบคลุมถึงมาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพของสัตว์ แต่เน้นความรับผิดชอบเฉพาะความปลอดภัยของอาหารและมาตรการป้องกันสุขภาพของสัตว์และพืชที่มีผลกระทบต่อการค้าเท่านั้น

4. Total Quality Management

เป็นระบบที่วัตถุประสงค์หลัก ประการ คือ
1.       ระบบการนำ (Leadership System)
2.       ธรรมวิธี (The Guiding Principles)
3.       แนวคิด (The Concepts)
4.       ระบบบริหารคุณภาพ (Quality Management System)
5.       เครื่องมือและเทคนิคต่างๆ (Tools and Techniques)
6.       การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management)
7.       การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี (Technology Research and Developments)
เป็นระบบบริหารบุคคลทุกระดับ ในทุกขั้นตอนการผลิต ควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือควบคุมคุณภาพและการส่งเสริมการศึกษา การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

5. มาตรการด้านการคุ้มครองสวัสดิภาพของสัตว์ (Animal Welfare)

เป็นมาตรการที่มุ้งเน้นด้านการคุ้มครองสัตว์ให้มีความเป็นอยู่ปกติ ปราศจากการรบกวน ทรมานหรือทารุณสัตว์ ตั้งแต่การเลี้ยงดูไปจนถึงส่งสัตว์เข้าโรงฆ่าสัตว์ เช่น กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงสัตว์ ไม่เลี้ยงสัตว์หนาแน่นเกินไป มีการจัดการสิ่งแวดล้อมในสถานที่เลี้ยงสัตว์ เช่น อุณหภูมิ การระบายอากาศ ตลอดจนให้แสงสว่างตามที่สัตว์แต่ละชนิดต้องการ มีอุปกรณ์ให้อาหารและน้ำอย่างพอเพียง ไม่ปล่อยสัตว์ให้ขาดอาหาร  มีการป้องกันและรักษาเมื่อสัตว์บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย มีการเคลื่อนย้ายขนส่งสัตว์โดยไม่ทรมานสัตว์ มีการฆ่าสัตว์โดยไม่ทารุณและทรมาน

6. มาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่มีการใช้วัตถุดิบดัดแปลงทางพันธุกรรม (Genetically modified organisms หรือ GMOs)

เป็นมาตรการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางชีวภาพในด้านอาหาร ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ จะเกี่ยวข้องกับ
โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจะมีข้อกำหนดการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม เช่น กาก
ถั่วเหลือง ข้าวโพด ฯลฯ ที่อาจมีผลตกค้างในผลิตภัณฑ์สัตว์ โดยทั่วไปแล้วจะกำหนดให้มีส่วนประกอบที่เป็น
วัตถุดิบ GMO ได้ไม่เกิน 1-5 % ขึ้นกับความเข้มงวดของแต่ละประเทศ
 *****************
บรรณานุกรม
รุ่งนภา รัตนราชชาติกุล. 2544.วารสารสัตวแพทย์ปีที่ 11 (2): 40-47.
อุษุมา กู้เกียรตินันท์ และ วิมล อยู่ยืนยง. 2544. การจัดการด้สนสุขภาพสัตว์ของผู้ประกอบการที่ขอรับรองมาตรฐานฟาร์มสัตวแพทยสาร 52 (1-2): 58-71.